เปิด 4 ปัจจัยส่งผลต่อ ‘เศรษฐกิจปี 65’ คุมเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 3% แก้ปัญหาของแพง ส่วนมาตรการลดภาษีน้ำมัน คือทางเลือกสุดท้าย เพราะทำรัฐเสียรายได้ 2,000 ล้านต่อเดือน พร้อมพิจารณาบังคับใช้ ‘ภาษีหุ้น’
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มี 4 ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ในปี 2565 นั่นคือ
1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด
2. หนี้ครัวเรือน หนี้ประเทศ หรือหนี้สาธารณะ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 59% โควิดทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่ม ขณะที่หนี้สาธารณะจำเป็นต้องกู้เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติ
3. ซัพพลายเซนขาดตลาด เนื่องจากความต้องการที่มากขึ้น
4. ราคาพลังงาน และอาหาร หรือสุกร และน้ำมัน
ลดภาษีน้ำมัน ทางเลือกสุดท้าย
นายอาคม กล่าวว่า ปัญหาน้ำมันและอาหารแพง เป็นภาวะระยะสั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องเข้าไปกำกับดูแลก่อน มาตรการภาษีจะเข้าไปช่วยเป็นมาตรการสุดท้าย เนื่องจากยังมีกองทุนน้ำมันที่ทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันอยู่ เพราะหากลดภาษีน้ำมัน 1 เดือน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่อัตรา 5-6 บาทต่อลิตร รายได้ของรัฐจะหายไปกว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ศูนย์คาดการณ์เศรษฐกิจหลายแห่ง คาดว่าเศรษฐกิจปี 2565 เริ่มฟื้นตัว จะขยายตัวได้ 4% จากปี 2564 ที่มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 1% ซึ่งถือว่าไม่ได้สูงมาก เนื่องจากการท่องเที่ยวซึ่งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังไม่กลับมา โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ 7 ล้านคน จากช่วงก่อนโควิดที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 40 ล้านคน แต่ตัวเลขก็จะทยอยดีขึ้น จากปี 2564 ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 4 แสนคน
นายอาคม กล่าวอีกว่า หลังผ่านช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง และแฮมเบอร์เกอร์ การเติบโตจีดีพีของประเทศไม่ได้หวือหวา อยู่ที่ระดับ 4%-5% ปัจจุบันจีดีพีไทย อยู่ที่ประมาณ 17 ล้านล้านบาท หากต้องการให้จีดีพีขยับเพิ่มขึ้นมาอีก 1% จะต้องเพิ่มขนาดเศรษฐกิจประมาณ 1-2 แสนล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมั่นคง คือ เทคโนโลยี และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ทั้งนี้ปี 2565 กระทรวงคลังมีนโยบายเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในขณะนี้ ขณะที่นโยบายบริหารการคลัง ในระยะปานกลางจะเพิ่มศักยภาพการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม มีวินัย และในปีงบประมาณ 2566 จะลดการขาดดุลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการจัดเก็บรายได้ของประเทศ
คุมอัตราเงินเฟ้อ
ส่วนนโยบายการเงินนั้น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ ให้อยู่ในกรอบ 1%-3% หากในช่วงใดช่วงหนึ่งอัตราเงินเฟ้อสูงกว่ากรอบ ก็มีนโยบายดึงลงมา ขณะเดียวกัน มองว่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ด้านนโยบายการเงินก็ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาค่าครองชีพเพิ่มสูง และเกิดภาวะเงินเฟ้อ
พิจารณาบังคับใช้ ‘ภาษีหุ้น’
ส่วนกรณีกระแสข่าวกระทรวงการคลังเก็บภาษีหุ้น และภาษีคริปโตเคอร์เรนซี โดยภาษีคริปโตฯ ได้ดำเนินการจัดเก็บมาแล้วตั้งแต่ปี 2561 ทั้งเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ส่วนภาษีหุ้นเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว แต่ได้ยกเว้นให้ เพื่อช่วยการพัฒนาตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อตลาดทุนพัฒนาขึ้น รายได้ก็ต้องคืนรัฐ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ปักธง ‘เบตง’ ประตูการท่องเที่ยวชายแดนใต้ สธ.เร่งเตรียมพร้อมระบบสาธารณสุข
- ราชกิจจาฯ เผยแพร่ คลังกู้เงิน ‘หมื่นล้าน’ สร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม
- โรงแรมพีกาซัส โคราช ประกาศขายเฉียด 200 ล้าน ปิดตำนาน 26 ปี อาบ อบ นวด ลอยฟ้า