Business

‘สิงห์เอสเตท’โกอินเตอร์ปั้นพอร์ตอสังหาฯปีนี้ 6 หมื่นล้าน

การรุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ สิงห์ เอสเตท เจ้าพ่อน้ำเมาค่ายสิงห์ เริ่มประกาศแผนเติบโตอย่างก้าวกระโดมาตั้งแต่ปี 2558 หลังจากสะสมพอร์ตอสังหาฯแรกเมื่อปี 2557 จากนั้นก็ทยอยเปิดโครงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในและนอกประแทศ ซึ่งเป้าหมายของสิงห์เอสเตท ต้องการเป็นโฮลดิ้งคัมปานี ขยายการลงทุนอสังหาฯเป็นที่ยอมรับทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

K. Narit1
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนลงทุนอสังหาฯของสิงห์เอสเตท จะเดินหน้าพัฒนาอสังหาฯอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมามีการลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาทสำหรับธุรกิจโรงแรม ลงทุน 9,500 ล้านบาทในธุรกิจพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ ลงทุน 1.3 หมื่นล้านบาทในธุรกิจที่อยู่อาศัย และอสังหาฯอื่นๆ อีกกว่า 8,000 ล้านบาท

การลงทุนของสิงห์เอสเตท เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2557 โดยการเข้าซื้อโครงการแรก คือ สันติบุรี รีสอร์ท ที่สมุย หลังจากนั้นก็ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าทรัพย์สินของสิงห์เอสเตท เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 1.12 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 2.53 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 จากนั้นเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาทในปี 2559 และเพิ่มเป็น 4 หมื่นล้านบาทในปี 2560 สำหรับปี 2561 คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ของสิงห์เอสเตท จะเติบโตถึง 6 หมื่นล้านบาท

แม้สินทรัพย์ของสิงห์เอสเตทเติบโต แต่นายนริศ กล่าวว่า สิ่งที่ไม่ค่อยน่าสบายใจคือ ทรัพย์สินโตแต่รายได้ยังไม่สูง ผลกำไรจากพัฒนาอสังหาฯยังต้องใช้เวลา ซึ่งในปี 2561 จะเป็นปีแรกที่สิงห์เอสเตท เริ่มรับรู้รายได้จากการพัฒนาที่อยู่อาศัย (Residential) นอกเหนือจาก Nirvana ที่สิงห์เอสเตทซื้อเข้ามาเมื่อปี 2558 และ โรงแรมที่เกาะพีพี  โครงการสันติบุรี ซื่งซื้อเข้ามาเมื่อปลายปี 2557 นอกจากนี้ยังมีโรงแรมในอังกฤษ 29 แห่ง ซึ่งเริ่มเห็นกำไรเข้ามาปลายปี 2560

ส่วนการรับรู้รายได้ เริ่มจากโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ มีรายได้ 1,530 ล้านบาท โครงการเพื่อการพาณิชย์อื่นๆ 584 ล้าน โครงการที่อยู่อาศัย 2,388 ล้านบาท และโรงแรม 1,074 ล้านบาท

ทำสัญญาซื้อโรงแรมเครือ Outrigger  

“ปีนี้ สิ่งที่จะทำให้บริษัทเติบโต ส่วนหนึ่งมาจาก Investment เรามองว่า การท่องเที่ยวเที่ยวเป็นหนึ่งในธุรกิจสำคัญของสิงห์ เอสเตท ในการสร้าง recurring income ในระยะยาว” นายนริศ กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อเดือน ก.พ.  2561 สิงห์เอสเตทได้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายโรงแรม 6 แห่งในเครือ Outrigger ซึ่งอยู่ใใน 6 ประเทศ ได้แก่ ฟิจิ 2 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ เกาะ Castaway ซึ่งมีโรงแรมทีเก่าแก่ระดับตำนาน ต้องนั่งเรือสปีดโบ๊ทไป 2 เกาะนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ส่วนที่เกาะมอริเชียส เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างเก่าแก่เช่นกัน เน้นตลาด South Africa รองรับตลาดยุโรป และนอกจากนี้มีที่เกาะสมุย พีพี และมัลดีฟส์ เพื่อเสริมแกร่งโครงการ CROSSROAD ที่มัลดีฟส์ ซึ่งนำมาปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น

14963148131496315100l

ตั้งเป้าเป็นบริษัทอสังหาฯระดับอินเตอร์

“สิงห์ เอสเตท จะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่คนทั่วโลกต้องรู้จัก เราลงทุนในประเทศและต่างประเทศ และกำลังจะเปิดโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีฟส์ กลางเดือน ต.ค. 61 นี้ ซึ่งเป็นโครงการที่จะสร้างมิติใหม่การท่องเที่ยวมัลดีฟส์ เสริมความแข็งแกร่งบริษัท” นายนริศ ย้ำ

สิงห์เอสเตท ตั้งเป้าจะก้าวขึ้นเป็น บริษัทอสังหาฯระดับสากล เป็น Premier Property development and Investment Holding Company มีการขายลงทุนต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

จากเมื่อปี 2560 ได้นำกิจการเนอวานาไดอิ เข้าตลาดหลักทรัพย์ประสบความสำเร็จ ในปี 2561-2562 ตั้งใจจะนำบริษัท เอส โฮเตล แอนด์ รีสอร์ท (SHR)  เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และในปี 2562-2563 จะตั้งกองทรัสต์อสังหาฯ (REIT) นำอสังหาฯเข้ากองทรัสต์เพื่อระดมทุน ซึ่งจะทำให้สิงห์เอสเตทเติบโตอย่างมั่นคง

f1f22aee สิงห์ คอมเพล็กซ์1

อย่างไรก็ตาม หากย้อนดูที่รายได้จากธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างเดียว จะมีรายได้ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ซึ่งมาจาก 4 โครงการ ทั้ง THE ESSE ASOKE, THE ESSE Singha Complex, THE ESSE Sukhumvit 36 และ Banyan Tree Residences Riverside โดยบริษัทฯมียอดขายรอโอน (backlog) รวมกันสูงกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2561 จะมี backlog มากถึง 2 หมื่นล้านบาท จากแผนลงทุนปีละ 2-3 โครงการ

ส่วนโครงการในกลุ่มที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) จะมาจากพื้นที่เพื่อพาณิชยกรรม และธุรกิจโรงแรม ทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทฯตั้งเป้ามีรายได้ประจำ 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2563

 

 

Avatar photo