“ตลาดไท” มีพื้นที่ 542 ไร่ บนถนนพหลโยธิน อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็น “ตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจร” ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางของอาเซียน เป็นแหล่งสำคัญในการรวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจุบันมีประเภทสินค้าแบ่งตามตลาดถึง 21 ตลาด มีผู้ค้า 3,500 ราย จำนวนรถเข้า-ออกหมุนเวียน 2.5 หมื่นคันต่อวัน ผู้มาเยี่ยมเยือนตลาดหมุนเวียน 1 แสนคนต่อวัน สนับสนุนเกษตรกร 1.5-2 แสนคน มีสินค้าเกษตรเข้าสู่ตลาด 1.2 หมื่นตันต่อวัน มูลค่าการค้าต่อวัน 500 – 600 ล้านบาท และมูลค่าการค้าต่อปี 1.8 แสนล้านบาท “ตลาดไท” จึงเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรไทย
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการบริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด (ตลาดไท) กล่าวว่า “ตลาดไท” มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการเป็น “ตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจร” ใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางของอาเซียน โดยดำเนินธุรกิจค้าส่งและสนับสนุนเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 21 ปี
พร้อมเดินหน้าด้วยความมุ่งมั่นในการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสินค้าเกษตร ผู้ค้า และเกษตรกรร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรที่มีความหลากหลายจากทั่วประเทศไทยและเกือบทุกมุมโลกผ่านตลาดไท
ในฐานะตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน แนวทางดังกล่าวจึงสอดรับกับภารกิจของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในการส่งเสริม สนับสนุนงานด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
“ตลาดไท”และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร รวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่าย การแลกเปลี่ยนข้อมูล ตลอดจนบุคลากรของทั้งสองฝ่าย เพื่อพัฒนาศักยภาพและพัฒนาธุรกิจในด้านต่าง ๆ
“โดยเชื่อว่าความร่วมมือของตลาดไทและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดโดยตรงทั้งแก่ผู้ประกอบการไทย เกษตรกร และสังคมไทยได้อย่างแท้จริง”
อีกทั้งจะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่สามารถช่วยขับเคลื่อนงานด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรให้สัมฤทธิ์ผลและเป็นจริงได้ต่อไป
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาจากการมีงานวิจัยที่เข้มแข็งและก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้พัฒนาในด้านต่าง ๆ ขณะที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มเน้นการวิจัยและพัฒนาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณการวิจัยและพัฒนามากขึ้นดังนั้นการที่ภาคเอกชนจะได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถือเป็นสิ่งที่ดี ในการนำผลงานวิจัยและพัฒนามาใช้ประโยชน์
ตลาดไท ซึ่งดำเนินธุรกิจมาแล้ว 21 ปี เป็นศูนย์กลางค้าส่งสินค้าเกษตร เมื่อรวมกับตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งถือเป็นตลาดพี่น้องกัน จะมีสินค้าเกษตร 60% จากทั่วประเทศ ผ่านทั้ง 2 ตลาด ดังนั้นความร่วมมือกับมหาลัยธรรมศาสตร์ จะมีส่วนช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันพัฒนาเกษตรกร ให้สามารถต่อยอดผลผลิตสร้างรายได้ดีขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น
เป้าหมายหลักของความร่วมมือในครั้งนี้ คือ สนับสนุนเกษตรกร สร้างมูลค่าเพิ่มผ่านงานวิจัยและนวัตกรรม ที่ตลาดไทและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะทำงานร่วมกัน
ที่ผ่านมาปัญหาของสินค้าพืชผลทางการเกษตร ที่ปลูกได้ผลผลิตปริมาณมาก แต่พบว่ามีของเสียจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกร ดังนั้นจะต้องมีการวิจัยและพัฒนาทั้งด้านการนำผลผลิตพืชผลทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์สูงสุด
หลังจากเซ็นเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว เราจะหารือรายละเอียดเกี่ยวกับงานวิจัยและพัฒนาร่วมกันอีกครั้ง และคาดว่าจะเริ่มเห็นงานวิจัยที่นำมาพัฒนานวัตกรรมภายใน 1 ปี โดยจะเน้นนวัตกรรมด้านอาหารปลอดภัย การแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยทั้งตลาดไทและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการสนับภาคเกษตรต่อยอดสร้างรายได้จากนวัตกรรมใหม่ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ทางด้าน ศ.ดร.ทพญ.ศิริวรรณ สืบนุการณ์ รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าความร่วมมือกับ “ตลาดไท” มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยด้านผลิตผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เกี่ยวข้อง ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งธรรมศาสตร์และตลาดไท
รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง บุคลากร และนักวิจัยทั้ง 2 องค์กร เพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และผลักดันให้เกิดการนำผลวิจัยและนวัตกรรมไปใช้งานได้จริง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งภาคเกษตรและสังคมไทย
ร.ศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่ายุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเป้าหมายยกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยในพัฒนาในด้านต่าง ๆ ซึ่งความร่วมมือกับตลาดไทยครั้งนี้ จะนำงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมมาถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ร่วมกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลาดไท และสังคมไทย ที่จะได้ผลผลิตที่ดีและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
“ยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านการพัฒนาต่อสังคมไทย และสร้างสรรค์นวัตกรรมระดับโลก ธรรมศาสตร์จึงมุ่งสร้างควาเป็นเลิศและความแข็งแกร่งด้านวิชาการ และงานวิจัยที่มีคุณภาพ ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศชาติ และประโยชน์ส่วนรวม”
การเซ็นเอ็มโอยูงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกับตลาดไท จะมีภาพที่ชัดเจนในช่วง 1 ปีหลังจากนี้ที่จะเห็นผลผลิตที่ชัดเจน การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ในการพัฒนาสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ ต่อสังคมไทยและที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป