ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ความเคลื่อนไหว “ทีวีดิจิทัล” กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2561 ที่ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษา ในคดีพิพาทระหว่าง ไทยทีวี และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
สรุปใจความสำคัญในคดีนี้ ได้ว่าผู้รับใบอนุญาตทีวีดิจิทัล “ขอบอกเลิกประกอบกิจการได้” เมื่อบอกเลิกสัญญาแล้วไม่มีหน้าที่ ชำระค่าใบอนุญาตหลังจากบอกเลิก และให้ กสทช. คืนหนังสือค้ำประกันงวดที่เหลืออยู่ทั้งหมด อันมีสาเหตุมาจาก กสทช. เปลี่ยนผ่านทีวีดิจิทัลล่าช้า ส่งผลกระทบต่อผู้ได้รับใบอนุญาต
หลังมีคำพิพากษา 2 วัน คือ ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เข้าพบ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล หลังการหารือจบ เลขาธิการ กสทช. บอกว่าทุกฝ่ายเห็นชอบร่วมกันในมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบทีวีดิจิทัล โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกคำสั่ง ตามมาตรา 44 เรื่องการพักจ่ายใบอนุญาต 3 ปี และสนับสนุนค่าเช่าโครงข่ายภาคพื้นดิน (Mux) 50% เป็นเวลา 2 ปี
แต่เมื่อนำเข้าสู่การพิจารณา คสช. ในวันที่ 27 มีนาคม 2561 คสช. ยังไม่ตัดสินใจออกคำสั่ง มาตรา 44 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล รวมทั้งขยายเวลาจ่ายค่าใบอนุญาต ผู้ประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิร์ตซ เพื่อให้ กสทช. ศึกษามาตรการที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งพิจารณาข้อท้วงติงจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่อง “ลำบาก” ของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลอีกครั้ง เพราะในเดือน พฤษภาคม นี้ เป็นเวลาครบกำหนดจ่ายเงินค่าประมูลทีวีดิจิทัลงวดที่ 5 ของทั้ง 22 ช่องที่เหลือ ที่เกิดขึ้นท่ามกลาง ภาวะ “ขาดทุน”หลักร้อยถึงพันล้านบาท ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่
4ปีจ่ายใบอนุญาต 3.5 หมื่นล้าน
ในการประมูลทีวีดิจิทัล ช่วงเดือน ธันวาคม 2556 จำนวน 24 ช่อง ได้เงินประมูลรวม 50,862 ล้านบาท โดยประกาศฯ กสทช. กำหนดให้แบ่งจ่ายเงินค่าประมูลรวม 6 งวด หรือ 6 ปี ทุกเดือน พฤษภาคม หลังจากนั้นในปี 2559 คสช. มีคำสั่ง มาตรา 44 ขยายเวลาจ่ายออกไปอีก 3 ปี รวมเป็นชำระ 9 งวด
โดยยอดเงินประมูลทีวีดิจิทัล 24 ช่อง เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม จะอยู่ที่ 54,422 ล้านบาท
๐ ปัจจุบันใบอนุญาตทีวีดิจิทัลมียอดชำระแล้ว 4 งวด อยู่ที่ 35,330 ล้านบาท คิดเป็น 65%
๐ ยอดคงเหลือที่ต้องชำระ อยู่ที่ 18,016 ล้านบาท คิดเป็น 33%
๐ ยอดของบริษัทที่ถูกเพิกถอน (ไทยทีวี) อยู่ที่ 1,075 ล้านบาท คิดเป็น 1.98%
สำหรับยอดคงเหลือที่ต้องชำระ จำนวน 18,016 ล้านบาท สัดส่วน 33% รวม 5 งวด
งวดที่5 (คสช.งวดที่ 2) ปี 2561 จำนวน 5,144 ล้านบาท สัดส่วน 9.45%
งวดที่6 (คสช.งวดที่ 3) ปี 2562 จำนวน 4,496 ล้านบาท สัดส่วน 8.26%
งวดที่7 (คสช.งวดที่ 4) ปี 2563 จำนวน 2,791 ล้านบาท สัดส่วน 5.13%
งวดที่8 (คสช.งวดที่ 5) ปี 2564 จำนวน 2,791 ล้านบาท สัดส่วน 5.13%
งวดที่9 (คสช.งวดที่ 6) ปี 2565 จำนวน 2,791 ล้านบาท สัดส่วน 5.13%
ในสถานการณ์ที่ใกล้ครบกำหนดจ่ายเงินค่าใบอนุญาต งวดที่ 5 ในเดือนพฤษภาคมนี้ และหาก คสช.ยังไม่พิจารณาออกคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อช่วยเหลือด้วยการพักจ่ายเงินค่าใบอนุญาต จึงเป็นอีกสถานการณ์ที่ลำบากในการตัดสินใจ
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการรายใดจะออกจากตลาด โดยยึดหลักคำพิพากษาศาลปกครองกลางในขณะนี้ ต้องคิดหนักเช่นกัน เพราะถือเป็นคืนใบอนุญาตช้ากว่า ไทยทีวี และได้จ่ายค่าใบอนุญาตไปแล้ว 4 งวด มูลค่ากว่า 65% ของเงินประมูล
“หากเป็นคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ด้วยเงื่อนไขผู้ประกอบการขอบอกเลิกกิจการได้ และจ่ายค่าใบอนุญาตตามจำนวนปีที่ใช้คลื่นความถี่ เชื่อว่าทีวีดิจิทัล จะตัดสินใจคืนไลเซ่นส์ได้ง่ายขึ้น เพราะการเดินหน้าต่อต้องใช้เงินทุนอีกจำนวนมาก”
ส่องต้นทุนทีวีดิจิทัลหากไปต่อ!
มาดูกันว่าหากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ที่ต้องการไปต่อ มีต้นทุนอะไรบ้าง
๐ ค่าใบอนุญาตงวดที่ยังเหลืออยู่อีก 2 งวด สำหรับช่องที่ไม่ได้ใช้สิทธิ มาตรา 44 ขยายเวลาจ่าย และอีก 5 งวด สำหรับช่องที่ใช้สิทธิขยายเวลาจ่ายใบอนุญาต โดยเฉลี่ยช่องเอสดี (ความคมชัดปกติ) มีค่าใบอนุญาตปีละ 300 ล้านบาท ส่วนช่องเอชดี (ความคมชัดสูง) ปีละ 400-500 ล้านบาท
๐ ค่าเช่าโครงข่ายระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน ช่องเอสดี เดือนละ 4-5 ล้านบาท หรือปีละ 48-60 ล้านบาท และช่องเอชดี เดือนละ 12-15 ล้านบาท เดือนละ 144 -180 ล้านบาท
๐ ต้นทุนดำเนินการและบุคลากรเดือนละ 10-20 ล้านบาท หรือ 120-240 ล้านบาท
๐ ต้นทุนคอนเทนท์ ช่องเอสดี ปีละ 500 ล้านบาท ช่องเอชดี ปีละ 1,000 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า“ต้นทุนคงที่”ช่องทีวีดิจิทัล นอกจากค่าใบอนุญาตยังมีต้นทุนที่ต้องจ่ายหลัก 600-1,200 ล้านบาท
ดังนั้นหากทีวีดิจิทัล ที่จะลงทุนต่อ จึงต้องพิจารณาความพร้อมด้านเงินทุนและโอกาสการหารายได้ในอนาคตว่ามีมากน้อยแค่ไหน ในสถานการณ์ปัจจุบันที่สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยเงินกู้ให้กับทีวีดิจิทัล เช่นเดียวกับการหารายได้ที่ต้องพึงพาเรตติ้ง ถือเป็นโจทย์สำคัญของทีวีดิจิทัล ช่องที่มีเรตติ้งต่ำ ว่าจะเดินต่อไปอย่างไร
แม้จะมีคำสั่งมาตรา 44 มาช่วยเหลือ พักชำระค่าใบอนุญาต 3 ปี แต่หากคอนเทนท์ ไม่สามารถสร้างเรตติ้งได้เหมือนช่วงที่ผ่านมา โอกาสการหารายได้หลังจากนี้ คงไม่ต่างจากช่วง 4 ปีที่ประกอบกิจการ
ทีวีดิจิทัล‘ท็อป 5’ยึดงบโฆษณา
ไตรลุจน์ นวะมะรัตน นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (MAAT) มองว่าการประมูลทีวีดิจิทัล จำนวน 24 ช่อง ปัจจุบันเหลือ 22 ช่อง ซึ่งถือเป็นจำนวนช่องที่มากเกินไป จะเห็นได้ว่าช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินโฆษณาทีวี ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนช่อง โดยยังเป็นเค้กก้อนเดิมที่มีมูลค่าราว 6-7 หมื่นล้านบาท
ในยุคทีวีดิจิทัล เม็ดเงินโฆษณายังอยู่ในมือ ช่องที่ครองเรตติ้งท็อป5 สัดส่วน 90% หากขยับเป็น ท็อป10 สัดส่วนจะขยับเป็น 95% จะเห็นได้ว่างบโฆษณาทีวี ผ่านเอเยนซี กระจายไปยังทีวีดิจิทัล ช่องที่มีเรตติ้งต่ำกว่า 10 อันดับแรก “น้อยมาก” เพราะการวางแผนใช้เม็ดเงินโฆษณาทีวี ยังยึดเรตติ้งเป็นหลัก ซึ่งมาจาก “คอนเทนท์”ที่ดี และโดนใจผู้ชม
“มองว่าจำนวนช่องทีวีดิจิทัล ที่เหมาะสมกับตลาดไทยและอยู่รอดได้ น่าจะอยู่ที่ 10ช่อง”
เปิดคำพิพากษาคดีไทยทีวีชนะ กสทช.