ภายใต้จัดทัพครั้งใหญ่ในรอบ 40 ปี ที่ประกาศไว้ในปีที่ผ่านมา มาลี กรุ๊ป ได้เดินหน้าทิศทางการดำเนินธุรกิจขับเคลื่อนบริษัทจาก “ผู้ผลิตน้ำผลไม้” สู่การเป็น “ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก” ในปี 2564 โดยมีทิศทางขยายกิจการไปในกลุ่มธุรกิจอื่น นอกเหนือจากการผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋อง รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมขั้นสูงต่างๆ
ล่าสุด “มาลี กรุ๊ป” ได้เปิดตัวบริษัทย่อย มาลี แอพพลายด์ ไซเอ็นซ์ จำกัด (เอ็มเอเอส) ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ด้วยการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรช่วยเกษตรกรไทย พร้อมเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร
วิจัยผลิตภัณฑ์เจาะตลาดสุขภาพ-อุตฯ
รุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บทบาทของ“เอ็มเอเอส” จะทำหน้าที่ต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร (High Value Added Products: HVA) สร้างรายได้ให้เกษตรกร รวมทั้งสร้างความมั่นคงให้ซัพพลายเชนในด้านการจัดหาวัตถุดิบเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจของกลุ่ม ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญผลักดันให้มาลี กรุ๊ป สู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพระดับโลก
โดยเอ็มเอเอส เป็นบริษัทที่จะทำหน้าที่วิจัยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากวัตถุดิบทางการเกษตร ที่มาลี กรุ๊ปใช้ในการผลิตสินค้า เพื่อใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบเต็มประสิทธิภาพโดยไม่มีของเหลือ พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบ งานวิจัยที่เกิดจากเอ็มเอเอส จะมีทั้งการนำมาผลิตเป็นสินค้าจำหน่ายสู่ผู้บริโภค โดยเน้นไปที่กลุ่มสุขภาพ และการผลิตเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งกลุ่มนี้จะสร้างมูลค่าสูงสุด เนื่องจากตลาดมีขนาดใหญ่
เปิดตัว“วินติโค”เจาะตลาดส่งออก
สำหรับสินค้าแรกที่มาจากการวิจัยของเอ็มเอเอส คือ “วินติโค” น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำมะพร้าว 100% เป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการจัดการวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น น้ำมะพร้าวส่วนเกินจากการผลิตน้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม เนื่องจากระยะเก็บเกี่ยวหรือความหวานที่ไม่เป็นไปตามกำหนด อาจส่งผลต่อรสชาติจึงได้นำวัตถุดิบดังกล่าวมาผ่านกระบวนการวิจัยขั้นสูงและพัฒนาออกมาเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 2 จากงาน World Food Innovation Awards 2018
ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สามารถบริโภคแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมน้ำหรือผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่น รวมทั้งสามารถนำมาปรุงอาหารเช่น น้ำสลัด เป็นต้น
การทำตลาด “วินติโค” เน้นส่งออกต่างประเทศ ทั้ง สหรัฐ ยุโรป เอเชีย ซึ่งรู้จักผลิตภัณฑ์และบริโภคสินค้าประเภทนี้อยู่แล้ว ยอดขายหลังมาจากส่งออกสัดส่วน 80% ส่วนตลาดในประเทศ จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต อย่างกูร์เม่ต์มาร์เก็ต ราคาตัวขวดละ 1,590 บาท เริ่มทำตลาดไตรมาส 3
ปีนี้เอ็มเอเอส จะมีงานวิจัยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 เพิ่มเติมในกลุ่ม สแน็คสุขภาพ และการผลิตวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและเวชภัณฑ์ สำหรับปีแรกบริษัทใช้เงินลงทุนในเอ็มเอเอสและงานวิจัยรวม 30 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายให้มีรายได้ครอบคลุมต้นทุน
ช่วงครึ่งปีแรกภาพรวมตลาดเครื่องดื่มน้ำผลไม้ยังอยู่ในภาวะติดลบ 11% แต่มาลีกรุ๊ป คาดว่าครึ่งปีหลังผลประกอบการมีโอกาสเติบโตจากเปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งจากบริษัทเอ็มเอเอส และมาลี
เอ็มเอเอสลุยวิจัย 4 คลัสเตอร์
ดร.ศุภเกียรติ คำบุทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาลี แอพพลายด์ ไซเอ็นซ์ จำกัด กล่าวว่าการทำงานของ “เอ็มเอเอส” ประกอบด้วย 4 คลัสเตอร์
1. Cluster H (Health & Life-Science Products) คิดค้นผลิตภัณฑ์จากความก้าวหน้าด้านชีววิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ
2.Cluster E (Environment & Energy) เพิ่มมูลค่าวัตถุดิบและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีของเหลือทิ้ง (0% waste) เพื่อความยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
3.Cluster V(Visionary Sciences & Advanced Materials) คิดค้นพัฒนาวัสดุอัจฉริยะหรือวัสดุที่มีน้ำหนักเบาจากวัตถุดิบทางการเกษตร เพื่อเป็นวัสดุทางเลือก
4.Cluster I (Internet of Thing & Service Platform) เพื่อสื่อสารและเชื่อมโยงอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ในชีวิตประจำวันจากทั่วโลก ให้สามารถควบคุมและนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ด้านการวิจัยได้อย่างอัจฉริยะ
ทั้งนี้ แต่ละปีเอ็มเอเอส วางเป้าหมายพัฒนานวัตกรรมจากงานวิจัยออกมาเป็นสินค้าและนวัตกรรมอื่นๆ ปีละ 3 ผลิตภัณฑ์ โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบการเกษตรที่เหลือใช้ในการผลิตสินค้า