Business

กรมสรรพากร เปิดรับฟังความเห็น เก็บภาษีเดินทางออกนอกประเทศ

กรมสรรพากร เปิดรับฟังความเห็น พรก.ภาษีเดินทางออกนอกประเทศ เช็กรายละเอียดร่าง พรก. ที่นี่

กรมสรรพากร เผยอยู่ในระหว่างดำเนินการรับฟังความคิดเห็น เพื่อประกอบการประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชกำหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ.2526 เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในเรื่องเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย อันเป็นการตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวในด้านต่าง ๆ

shutterstock 298605944 1

กรมสรรพากร จึงขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงประชาชนทั่วไป ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อพระราชกำหนดฯ ตามแบบฟอร์มการให้ความเห็นต่อพระราชกำหนดฯ ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 ถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2566

เปิดรายละเอียด พรก.ภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

ภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

พระราชกําหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2526 ได้กําหนดให้
กรมสรรพากร จัดเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไปจากภาษีอื่น ๆ ที่กรมสรรพากรเคยจัดเก็บมา

ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บที่สําคัญคือ เพื่อเป็นการหารายได้ให้แก่รัฐบาล และป้องกันมิให้คนไทยนําเงินตราต่างประเทศ ออกนอกราชอาณาจักรเกินสมควร ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้า และรักษาดุลการชําระเงินของประเทศ

ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษี

ผู้เดินทางที่มีหน้าที่เสียภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร มีลักษณะดังนี้

1. เป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย หรือเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (มาตรา 3)

ผู้ที่มีสัญชาติไทย หมายถึงคนไทยโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเกิดในประเทศไทย หรือเกิดนอก
ประเทศไทยก็ตาม และรวมถึงผู้ที่ขอแปลงสัญชาติเป็นคนไทยด้วย

สําหรับคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร คือคนต่างด้าวที่ได้รับ
อนุญาต ตามกฎหมายคนเข้าเมืองให้อยู่ในประเทศไทย แต่หากเป็นกรณีที่คนต่างด้าวที่เข้ามาประเทศไทย เป็นการชั่วคราวหรือระยะยาว หากไม่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ก็ไม่หน้าที่ต้องเสียภาษีการเดินทางแต่อย่างใด

2. เป็นผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร (มาตรา 8)

บุคคลที่เข้าลักษณะที่จะต้องเสียภาษีการเดินทาง จะต้องเป็นการเดินทางออกไปจาก
ประเทศไทยเท่านั้น หากเป็นการเดินทางจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยแล้ว บุคคลดังกล่าว ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการเดินทาง

การเก็บภาษีการเดินทางนี้ ถ้าเข้าลักษณะตาม 1. และ 2. แล้วจึงจะต้องเสียภาษีการเดินทางทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้เดินทางจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือเป็นข้าราชการที่เดินทางไปราชการ
ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเดินทางเพราะเหตุใด ๆ จะต้องเสียภาษีการเดินทาง เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามกฎหมาย

shutterstock 450980248

ผู้ได้รับยกเว้นภาษีเดินทาง

บุคคลที่ได้รับยกเว้นภาษีการเดินทาง (มาตรา 9) มีดังนี้

1. ผู้มีหน้าที่ทําการเกี่ยวกับการประกอบการขนส่ง ซึ่งโดยลักษณะหน้าที่ผู้นั้นไม่ต้องเสีย
ค่าโดยสาร และเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยหน้าที่การงานของผู้ประกอบกิจการขนส่ง ซึ่งตนมีหน้าที่ (มาตรา 9 (1))

บุคคลกลุ่มนี้ได้แก่ พนักงานประจําเครื่องบินหรือยานพาหนะซึ่งทําการขนส่งระหว่าง
ประเทศ เช่น นักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นต้น ตามปกติบุคคลเหล่านี้จะมีรายชื่อตามแบบ ตม. 4 ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อบุคคลประจําเที่ยวบิน หรือเรือซึ่งออกในแต่ละเที่ยว

สําหรับผู้มีหน้าที่ทําการเกี่ยวกับประกอบการขนส่ง เฉพาะการขนส่งผู้โดยสารออกนอก
ราชอาณาจักร ด้วยรถยนต์นั่งซึ่งมีที่นั่งไม่เกิน 7 คน หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 12 คน หรือ มีน้ําหนักไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม จะได้รับยกเว้นภาษีการเดินทาง ต่อเมื่อได้แสดงบัตรประจําตัวตาม แบบ ภ.ด.ท.17 ที่ทาง กรมสรรพากร ออกให้พร้อมทั้งบัญชีคนโดยสารตามแบบตม.3 และบัญชีคนประจําพาหนะตามแบบ ตม.4 ทั้งนี้ให้แสดงเมื่อจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

2. ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยใช้ใบอนุญาตผ่านแดน (มาตรา 9 (2))
ใบอนุญาตผ่านแดนออกโดยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอําเภอ ซึ่งจะออกให้แก่บุคคลที่
มีภูมิลําเนาในจังหวัดหรืออําเภอนั้น โดยจะเข้าไปได้ไม่เกิน 25 กิโลเมตร และห้ามอยู่เกิน
24 ชั่วโมง

การใช้ใบอนุญาตผ่านแดน เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่จะให้ประชาชนสามารถ
เดินทางข้ามชายแดนไปมาได้ที่ใช้กันมากในประเทศไทย เช่น จังหวัดเชียงราย อําเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และอําเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นต้น

3. ภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวช (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 2
(พ.ศ.2526)) ภิกษุสามเณร ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนา หรือลัทธินิกายใด ได้รับยกเว้นภาษีการเดินทาง โดยจะต้องมีหนังสือรับรองว่า เป็นภิกษุสงฆ์จริง เช่น พระภิกษุไทยในพระพุทธศาสนา จะต้องแสดงหนังสือสุทธิของพระ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็นพระภิกษุสามเณรที่ถูกต้อง จึงได้รับการยกเว้นภาษีดังกล่าว

4. ผู้เดินทางซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ณ เมืองเมกกะ
ประเทศซาอุดิอาระเบีย (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2526))
พิธีฮัจย์คือการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่เมืองเมกกะ ในเดือนซุลฮิจญะฮ์ ตามวัน
เวลา และสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางศาสนาอิสลามกําหนดไว้โดยจะต้องมีหนังสือรับรองเพื่อไป
ประกอบพิธิฮัจย์ประกอบเป็นหลักฐานในการพิจารณายกเว้นภาษี

5. ผู้เดินทางไปทํางานนอกราชอาณาจักรตามสัญญาจ้างแรงงานที่กรมแรงงานให้ความ
เห็นชอบ (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2526))

ผู้เดินทางไปทํางานต่างประเทศตามสัญญาจ้างแรงงานที่กรมแรงงานให้ความเห็นชอบ
จะได้รับยกเว้นภาษีการเดินทาง โดยทางกรมแรงงานจะออกหนังสือรับรองให้เพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษี

6. ข้าราชการหรือลูกจ้างซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจําสถานฑูตหรือสถานกงสุลไทยใน
ต่างประเทศ รวมทั้งสามี กริยา บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคนรับใช้ส่วนตัวของข้าราชการ และลูกจ้างดังกล่าว

ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่สถานฑูตหรือสถานกงสุลไทยนั้นตั้งอยู่ในประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทย และเฉพาะการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยทางบก หรือทางน้ำไปยังประเทศนั้น (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2527)

7. ผู้เดินทางซึ่งเดินทางโดยทางบกหรือทางน้ํา (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง
ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2529)

8. ผู้เดินทางซึ่งเดินทางผ่านประเทศไทยเพื่อไปยังต่างประเทศและจําเป็นต้องเข้าใน
ราชอาณาจักร เพราะเหตุอากาศยานขัดข้องหรือเพื่อรอการเปลี่ยนอากาศยาน เนื่องจากไม่มีอากาศยานที่จะเดินทางต่อภายใน 24 ชั่วโมง แต่ผู้เดินทางดังกล่าวจะต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักรภายใน 48 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่เข้ามาในราชอาณาจักร (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2529)

9. เดินทางซึ่งเดินทางโดยทางอากาศ (มาตรา 9 (3) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 6
(พ.ศ.2534) อัตราภาษีพระราชกําหนดภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ได้กําหนดอัตราภาษีการเดินทางไว้ไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท (มาตรา 8) แต่ได้มีการออกกฎกระทรวงกําหนดอัตราภาษีการเดินทางไว้ ดังนี้

  • การเดินทางโดยทางอากาศ ครั้งละ 1,000 บาท
  • การเดินทางโดยทางบกหรือทางน้ํา ครั้งละ 500 บาท

วิธีการเสียภาษี

การเสียภาษีการเดินทางตามมาตรา 8 วรรคสอง ประกอบ กับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเสียภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ลงวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2526 มีดังนี้

1. การเดินทางโดยทางเครื่องบิน ผู้เดินทางจะต้องชําระภาษีต่อผู้ประกอบการขนส่ง หรือ
ตัวแทน ซึ่งจําหน่ายตั๋วโดยสารในทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสาร แต่ถ้ามีเหตุจําเป็นไม่อาจชําระได้เช่น ตั๋วโดยสารซื้อมาจากต่างประเทศ ก็อาจชําระภาษีการเดินทางได้ต่อผู้ประกอบการขนส่งหรือตัวแทนในประเทศไทย พนักงานเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ท่าอากาศยาน หรือที่สํานักงานสรรพากรอําเภอ ท้องที่ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ เป็นต้น ตั้งอยู่ หรือชําระต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรประจําท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต หรือท่าอากาศยานหาดใหญ่ เป็นต้น

กรณีที่มีการเดินทางทางอากาศโดยการเช่าเครื่องบินเหมาลํา ซึ่งทางสายการบินจะออก
บัตรโดยสารให้เพียงใบเดียว การเสียภาษีการเดินทางจะต้องเสียตามจํานวนคนที่โดยสารไม่ใช่ตามบัตรโดยสารที่ออก

2. การเดินทางโดยทางเรือ ผู้เดินทางจะต้องชําระภาษีการเดินทางต่อผู้ประกอบการขนส่งทางเรือหรือตัวแทน ซึ่งจําหน่ายตั๋วโดยสารในทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสาร หรือถ้าซื้อตั๋วมาจากต่างประเทศ ก็ให้ชําระภาษีการเดินทางต่อผู้ประกอบการขนส่ง หรือตัวแทนดังกล่าวในประเทศไทย หรือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรประจําท่าเรือ หรือ ณ สํานักงานสรรพากรอําเภอท้องที่ (เว้นท้องที่ในเขตกรุงเทพมหานคร) ที่ด่านศุลกากรประจําท่าเรือตั้งอยู่

3. การเดินทางโดยทางรถไฟ ให้ชําระภาษีต่อพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือสถานีรถไฟ ซึ่งจําหน่ายตั๋วโดยสารให้ทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสาร ในกรณีที่ไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟที่กรุงเทพ หรือหาดใหญ่ ให้ชําระภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรประจําพรมแดน หรือ ณ สํานักงานสรรพากรอําเภอท้องที่ที่ด่านศุลกากรประจําพรมแดนตั้งอยู่

4. การเดินทางโดยทางอื่น ผู้เดินทางต้องชําระภาษีต่อผู้ประกอบการขนส่งซึ่งจําหน่ายตั๋ว
โดยสารให้ทันทีที่ซื้อตั๋วโดยสาร ในกรณีที่ไม่มีการซื้อตั๋วโดยสารให้ผู้เดินทางชําระภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากรประจําพรมแดน หรือ ณ สํานักงานสรรพากรอําเภอท้องที่ที่ด่านศุลกากรประจําพรมแดนตั้งอยู่

การชําระภาษีการเดินทางตามหลักเกณฑ์ข้างต้น ให้ชําระเป็นรายบุคคลไม่ว่าจะมีการออกตั๋วโดยสารเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มหน้าที่และความรับผิดของผู้เสียภาษี ผู้เดินทางจะต้องชําระภาษีและได้รับบัตรภาษีการเดินทาง โดยบัตรภาษีการเดินทางมี 3 ท่อน ผู้จําหน่ายบัตรจะเก็บต้นขั้วไว้และมอบท่อนที่ 2 และ 3 ให้แก่ผู้เดินทางซึ่งผู้เดินทางจะต้องมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก่อนออกนอกประเทศ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะตรวจแล้วฉีกท่อนที่ 2 เพื่อรวบรวมส่งสรรพากร ส่วนท่อนที่ 3 จะคืนให้แก่ผู้เดินทางเป็นหลักฐานว่าได้ชําระภาษีไว้แล้ว

บัตรภาษีการเดินทางท่อนที่ 3 ยังใช้เป็นหลักฐานในการลงบัญชีในกรณีที่บริษัท หรือ
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ออกค่าภาษีการเดินทางให้แก่พนักงานของตน

ในกรณีที่ผู้เดินทางไม่แสดงหลักฐานการชําระภาษี หรือหลักฐานการได้รับยกเว้นภาษี
เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองจะไม่อนุญาตให้ผู้นั้นเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ประกอบการขนส่ง

ผู้ประกอบการขนส่ง มีหน้าที่รับชําระภาษีการเดินทางและออกบัตรภาษีให้แก่ผู้เดินทาง
ผู้ประกอบการขนส่งที่จะรับชําระภาษีการเดินทาง จะต้องมายื่นคําร้องต่อกรมสรรพากร
พร้อมตัวอย่างบัตรลายมือชื่อ และมารับบัตรภาษีการเดินทางมาจําหน่ายภายในสิบวัน ต้องทําบัญชีรับจ่ายคงเหลือเป็นรายวันให้เสร็จภายใน 3 วัน นับแต่วันที่รับมาหรือจ่ายไป
สําหรับการนําส่งภาษีการเดินทางให้นําส่ง ดังนี้ คือ

  • ภาษีวันที่ 1 – 10 นําส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนเดียวกัน
  • ภาษีวันที่ 1 – 20 นําส่งภายในวันที่ 25 ของเดือนเดียวกัน
  • ภาษีวันที่ 21 – สิ้นเดือน นําส่งภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป

ในกรณีที่ผู้ประกอบการขนส่ง ทําบัตรภาษีการเดินทางสูญหายหรือขาดจํานวนไปโดยไม่
ได้เกิดจากเหตุสุดวิสัย ถือว่าผู้ประกอบการขนส่งได้ใช้บัตรภาษีนั้น ในการรับชําระภาษีและต้องเสียภาษีการเดินทางตามจํานวนบัตรที่สูญหายหรือขาดจํานวนไป

การขอคืนภาษี

บัตรภาษีการเดินทาง มีอายุการใช้งาน 3 เดือนนับจากวันที่ได้ชําระภาษีการเดินทาง ถ้า
ผู้เสียภาษีไม่ได้เดินทางจะต้องขอคืนภาษีโดยมีอายุความการขอคืนภายใน 180 วันนับแต่วันที่ชําระภาษี (มาตรา 10)

บทลงโทษ

ผู้เดินทางที่หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงโดยเดินทางออกนอกประเทศ โดยไม่ยอมเสียภาษีการเดินทางจะได้รับโทษ คือ เสียเบี้ยปรับ 2 เท่า และเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนโดยไม่รวมเบี้ยปรับ นอกจากนี้ยังมีโทษทางอาญา จําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3,000 บาท

สําหรับผู้ประกอบการขนส่งที่รับชําระภาษีการเดินทางจากผู้เสียภาษีแล้ว แต่ไม่นําส่งภาษีตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมสรรพากรกําหนด ต้องรับโทษคือ เสียเบี้ยปรับ 2 เท่า และเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของภาษีที่ต้องเสียโดยไม่รวมเบี้ยปรับ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo