COLUMNISTS

ผู้สูงวัย 2 ล้านคนไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง

Avatar photo
จิตติศักดิ์ นันทพานิช จุดตัดความคิด
149

กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา วันเดียวกับที่ค่าฝุ่นละอองจิ๋วเข้มข้นขึ้นถึงระดับเป็นภัยกับสุขภาพในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาทำขึงจะออกมาตรการเข้ม และประกาศปิดโรงเรียนในเขตกรุงเทพฯ 2 วัน  นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” ที่ร่วมกับ สมาคมธนาคารไทย และ สภาสถาบันการเงินของรัฐ จัดทำขึ้น

อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์301621
อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์

รัฐมนตรีคลังกล่าวถึงที่มาของโครงการนี้ โดยสรุปว่ากระทรวงการคลังพยายามเชิญชวนให้ผู้สูงวัยที่มีฐานะ บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท ให้กับผู้สูงวัยที่มีความจำเป็นมากกว่า แต่โครงการไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ข้อมูลจากข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า โครงการเชิญชวนให้ผู้สูงวัยที่มีความพร้อมบริจาคเบี้ยยังชีพ กระทรวงการคลังจัดทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่แป๊ก มีผู้บริจาคเพียง 800 คน จากเป้าหมายที่กำหนดไว้ 500,000 คน ยอดเงินบริจาคจึงไม่มากพอไปอุดหนุนผู้สูงวัยที่อยู่ในข่ายต้องได้รับการอุดหนุนเพิ่มเติม

เมื่อกระทรวงการคลังมาทบทวนปัญหา จึงพบว่าสาเหตุที่ผู้สูงวัยที่มีฐานะยังร่วมบริจาคไม่มาก เพราะไม่ทราบว่าจะบริจาคที่ไหน และไม่แน่ใจว่าบริจาคไปแล้วเงินจะถึงมือผู้สูงวัยตัวจริงหรือไม่

เมื่อพบสาเหตุแล้ว กระทรวงการคลังจึงจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น และเชิญชวนให้ผู้สูงวัยที่มีความพร้อมบริจาคเงิน 600 บาทต่อเดือนได้ที่แบงก์รัฐ และแบงก์พาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยแสดงตัวพร้อมบัตรประชาชน ผู้สูงวัยที่ตัดสินใจบริจาคระหว่าง 1 กุมภาพันธ์-31มีนาคม นี้จะได้รับเหรียญพระคลังเชิดชูเกียรติ และเกียรติบัตรเชิดชูความดีงามจากนายกรัฐมนตรี

รัฐมนตรีคลังให้ข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบันไทยมีผู้สูงอายุ 11 ล้านคน เป็นผู้รับเบี้ยผู้สูงอายุ 9 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงวัยที่มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 4.6 ล้านคน จะเห็นว่ามีผู้ที่มีศักยภาพจะเสียสละเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของตนให้กับผู้เดือดร้อนน้อยกว่ามีจำนวน ถึง 4 ล้านคน

ในกลุ่มผู้สูงวัยที่มีรายได้น้อย และถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 4. 6 ล้านคนนั้น 90 % หรือ 3.9 ล้านคนอยู่ในภาวะยากจน และมีความเป็นอยู่ขัดสนอย่างชัดเจน อีก 2 ล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง จำนวน 1.4 ล้านคนมีหนี้สิน และ 3.4 แสนคนเป็นผู้พิการ

นายอภิศักดิ์ บอกว่า ข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่ามีผู้สูงวัยจำนวนมากอยู่ในภาวะที่เข้าข่ายแร้นแค้น หรืออัตคัด และกำลังเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไม่มีอนาคต แม้การเพิ่มเบี้ยยังชีพจากการบริจาค คงยังไม่เพียงพอให้คุณลุงคุณตาคุณยายกลุ่มนี้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย แต่ก็ยังดีกว่าไม่เพิ่มเบี้ยยังชีพเลย

สถานการณ์ของผู้สูงวัยกลุ่ม 3.9 ล้านคนลำพังมาตราอุดหนุนเบี้ยยังชีพที่พรรคการเมืองหลายพรรคนำมาหาเสียงว่า จะเพิ่มเบี้ยชีพให้มากกว่าอัตราปัจจุบัน เช่นพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศจะให้ 1,000 บาท พรรคเพื่อชาติบอกจะให้ 2,000 บาท ฯลฯ

newscms thaihealth c dimsuvwz2789

หรือมาตราทางอ้อม เช่น ให้บุตรที่เลี้ยงดูบิดา-มารดา อายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ ท่านละ 30,000 บาท เป็นต้น รวมทั้งนโยบายยืดอายุเกษียณข้าราชการออกไปเป็น 63 ปี คงทำได้เพียงบรรเทาปัญหาเท่านั้น

พรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงกันอยู่เวลานี้ ควรทำการบ้านมากขึ้นในการคิดนโยบายที่หวังผลระยะยาว และสามารถเป็นตัวซับแรงกระแทก ก่อนที่ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอีก 5 ปีข้างหน้า

สำหรับแคมเปญผู้สูงวัยเพื่อผู้สูงวัยครั้งนี้ นายอภิศักดิ์ รัฐมนตรีคลัง คาดหวังจะมีผู้ร่วมบริจาค 1 ล้านคน ซึ่งจะสามารถเพิ่มเบี้ยยังชีพให้ ผู้สูงวัยที่มีรายได้น้อย 200-300 บาทต่อเดือน แต่ถ้ายอดบริจาคถึง 2 ล้านคนจะสามารถเพิ่มเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงวัยได้เป็น 1,000 บาทต่อเดือน

เรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น หากผู้สูงวัยท่านใดประสงค์บริจาคเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงวัยที่มีความจำเป็นมากกว่า ปฏิบัติตามรายละเอียดที่กล่าวข้างต้น ส่วนคนที่ยังไม่สูงวัยหากประสงค์บริจาคกระทรวงการคลังคงไม่ขัดข้องเช่นกัน

ช่วงนี้ถึงฝุ่นจะเยอะแต่ถ้าเกื้อกูลกันสังคมก็จะน่าอยู่ขึ้น.