Finance

ปรับสูตรราคาน้ำมันใหม่ฉุดกำไรโรงกลั่นหาย!!

o111

ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. มีมติปรับเกณฑ์คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้เป็นไปตามเกณฑ์ราคา Euro IV จากเดิมใช้เกณฑ์ Euro III ส่งผลให้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นมีส่วนลดจาก ปัจจุบันประมาณ 41 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันดีเซล , 61 สตางค์ และ 43 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 นอกจากนี้ยังมีประกาศราชกิจจานุเบกษาให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ของน้ำมันเบนซินและดีเซลลง 15 สตางค์ต่อลิตร เป็นเวลา 2 ปี

เมื่อสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้มีการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายดังกล่าว โดยพบว่าสวนใหญ่คาดว่าจะกระทบกำไรหุ้นกลุ่มโรงกลั่นอย่างจำกัด หรือไม่รุนแรงจนน่ากังวล ขณะที่มีนักวิเคราะห์บางแห่งประมาณการว่า จะกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มโรงกลั่นที่จดทะเบียนตลาดหุ้นไทยเพียง 1-2% เท่านั้น

เริ่มต้นจาก บล.กรุงศรี ระบุว่า เราประเมินผลกระทบต่อกลุ่มโรงกลั่นและกลุ่มค้าปลีกค่อนข้างจำกัด เนื่องจากโครงสร้างราคาใหม่เป็นเป็นเพียงราคาอ้างอิงของรัฐบาล ไม่ได้บังคับให้โรงกลั่นน้ำมันต้องปฏิบัติตาม ขณะที่การลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันไม่กระทบผลกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) PTT, บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) BCP เนื่องจากค่าการตลาดของผู้ประกอบการยังคงเดิมตรงกันข้ามราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลงจะกลายเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นปริมาณขายให้เพิ่มขึ้น

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ระบุว่าหุ้นกลุ่มโรงกลั่น จบ Overhang เรื่องสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่ โดยราคาจะลดลง 41-61 สตางค์ต่อลิตร (ณ วันที่ 20 เม.ย.2561) และกพช.เห็นชอบให้ลดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันลงจาก 25 เป็น 10 สตางค์/ลิตร เป็นเวลา 2 ปี อย่างไรก็ตามราคาตามสูตรเป็นราคาอ้างอิง ราคาน้ำมันค้าส่งและค้าปลีกจะลดลงแค่ไหนขึ้นกับอุปสงค์และอุปทานเป็นสำคัญ บล.ดีบีเอส คาดว่าเรื่องนี้กระทบกำไรผู้ประกอบการโรงกลั่นจำกัดเพียง 1-2% เท่านั้น

บล.เอเซียพลัส คาดว่า การปรับสูตรขายน้ำมันหน้าโรงกลั่น กระทบ SPRC เมื่อกบง.มีมติปรับสูตรราคาหน้าโรงกลั่นใหม่ โดยใช้เกณฑ์ราคาน้ำมันยูโร 4 เป็นฐาน จากเดิมที่ใช้ยูโร 3 บวกต้นทุนการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันให้ได้มาตรฐานยูโร 4 (พรีเมี่ยม) พร้อมลดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (น้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล ลง เป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งส่งผลให้ราคาขายส่งลดลงราว 60-80 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้แม้รัฐจะปล่อยให้การซื้อขายเป็นไปตามเสรี แต่การปรับสูตรครั้งนี้มีผลทำให้ราคาขายหน้าโรงกลั่นลดลงทันที

ฝ่ายวิจัยจึงยังคงประมาณการกำไรกลุ่มโรงกลั่นเช่นเดิม เพราะการซื้อขายส่วนใหญ่เป็นการทำสัญญาล่วงหน้า 3 เดือน ถึง 1 ปี แต่มีโอกาสที่สัญญาใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะลดลงตามราคาหน้าโรงกลั่นอ้างอิงใหม่ที่ประกาศโดยภาครัฐ จึงยังเป็น sentiment เชิงลบต่อบริษัทที่มีสัดส่วนโรงกลั่นค่อนข้างมาก ซึ่งน่าจะกระทบกับ SPRC (ไม่ได้ coverage) ซึ่งรายได้มาจากโรงกลั่น 100% รองลงมาได้แก่ BCP โรงกลั่น 75%, ESSO และ TOP สัดส่วน 65% ขณะที่ IRPC น้อย 35% (ที่เหลือส่วนใหญ่กระจุกตัว โอเลฟินส์ 35% อะโรเมติกส์ 10% และ สไตรรีนิกซ์ 20%) และ PTTGC น้อยสุด 25% (ส่วน โอเลฟินส์ 50% อะโรเมติกส์ 25%)

ทั้งนี้ทุก ๆ 1 ดอลลาร์ที่ค่าการกลั่นลดลง จะกระทบต่อประมาณการกำไรของหุ้นโรงกลั่นปี 2561 ราว 18.5%, 13.2%, 5.8% และ 3.4% จากประมาณการกำไรปี 2561 ตามลำดับ ดังนั้นจึงแนะนำ IRPC และ PTTGC ที่ถือว่าปลอดภัยสุด

บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า ถึงแม้ในระยะยาวเราจะชอบกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม Cyclical ที่แนะนำ Overweightหรือเพิ่มน้ำหนักลงทุนอยู่ แต่ในระยะสั้นจากการที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา เรามองว่านักลงทุนที่มีหุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจตัดสินใจเลือกขายทำกำไรส่วนหนึ่งได้ เนื่องจาก

  • 1) ปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯที่มีการใช้งานมีจำนวนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 820 แท่นในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี
  • ปัจจัย Geopolitical risk ในตะวันออกกลางและระหว่างสหรัฐฯกับซีเรียเริ่มมีน้ำหนักลดลงในระยะสั้น
  • ปริมาณ Net long position ในน้ำมันดิบสหรัฐฯอยู่ในระดับสูงสุดเกือบเป็นประวัติการณ์ (เรามักใช้เป็น Contrarian indicator) จนอาจต้องระวังการขายปิดสถานะของนักลงทุนประเภท Hedge funds
  • การออกมา Tweet ของปธน. Donald Trump ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันนั้นอยู่สูงเกินกว่าความเป็นจริง
  • การแตกพาร์ของหุ้น PTT อาจนำมาสู่ปรากฏการณ์ Sell on fact หรือการขายทำกำไรในระยะสั้น คล้ายๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหุ้นขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้อย่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
  • บรรยากาศในเชิงลบที่เกิดขึ้นกับกลุ่มโรงกลั่น จากประเด็นการปรับเกณฑ์คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่ ซึ่งล่าสุดราคาหุ้นในกลุ่มที่ปรับตัวลงมาเมื่อวันศุกร์สะท้อนการปรับลดราคาขายปลีกเบนซินและดีเซลที่ 30 สตางค์ต่อลิตรแล้ว แต่หากมีการปรับลดราคาขายปลีกมากกว่านั้น จะกระทบต่อราคาหุ้นมากกว่านี้ได้

ขณะที่บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) เชื่อว่า กบง.ปรับสูตรคำนวณราคาน้ำมัน – กบง.มีมติเห็นชอบปรับสูตรคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นใหม่ หวังปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน มีผล 21 เม.ย.เป็นต้นไป เบื้องต้นคาดกระทบต่อกลุ่มโรงกลั่นจำกัด

บล.บัวหลวง ระบุว่ากลุ่มพลังงานและ ปิโตรเคมี มีปัจจัยสำคัญ ได้แก่ (1) กบง.มีมติปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ขณะที่ PTT ปรับลดราคาขายปลีกลง 30 สตางค์/ลิตร เรามองเป็นลบต่อธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และระยะถัดไปอาจส่งผลกระทบทางอ้อมสู่โรงกลั่น โดย PTTGC จะได้รับผลกระทบน้อยสุด เพราะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นต่ำสุด

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight