Lifestyle

ไอคิวเด็กไทยต่ำกว่าเกณฑ์ กรมอนามัยอัดไอโอดีนเสริมในหญิงตั้งครรภ์

กรมอนามัย สานพลังความร่วมมือภาคีเครือข่าย เร่งแก้”โรคขาดสารไอโอดีน” เป็นเหตุเด็กไทยป.1 มีระดับไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล อัดยาเม็ดเสริมไอโอดีนหญิงตั้งครรภ์-ให้นมบุตร และให้ภาคอุตสาหกรรมใช้เกลือเสริมไอโอดีน

S 18497670
พญ.สายพิณ โชติวิเชียร

พญ.สายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หนึ่งในมาตรการที่องค์การอนามัยโลก กำหนดในการขจัดโรคขาดสารไอโอดีน คือ การใช้เกลือเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพในระดับครัวเรือนต้องไม่น้อยกว่า    90 % ซึ่งผลจากการดำเนินงานเฝ้าระวัง และติดตามภาวะขาดสารไอโอดีนในประเทศไทย พบการใช้เกลือเสริมไอโอดีนที่ได้คุณภาพในระดับครัวเรือน ปี 2559 สัดส่วน 79.9 % และพบค่าไอโอดีนในปัสสาวะหญิงตั้งครรภ์ 145 ไมโครกรัมต่อลิตรต่ำกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ คือ 150-249 ไมโครกรัมต่อลิตร

และจากการสำรวจระดับไอคิวของเด็กไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของกรมสุขภาพจิต ในปี 2559 พบเด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ 98.2 จุด ยังต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล ซึ่งกำหนดไว้ที่ 100 จุด

ดังนั้นเพื่อให้เด็กไทยได้รับสารไอโอดีนที่เพียงพอ ที่ผ่านมากรมอนามัยจึงเร่งดำเนินการหลายๆมาตรการในการแก้ไขปัญหา มาตรการสำคัญ คือ มาตรการเกลือเสริมไอโอดีน ที่กำหนดให้เกลือบริโภค รวมทั้งเกลือที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารต้องเป็นเกลือที่เสริมไอโอดีน

S 18497673

ส่วนมาตรการเสริมที่สำคัญ ประกอบด้วย การจ่ายยาเม็ดเสริมไอโอดีน ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก ให้หญิงตั้งครรภ์ทุกราย ตลอดการตั้งครรภ์ และหญิงหลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือน ผลการดำเนินงานล่าสุด ปี 2561 หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน 70.8 %  แต่ถือว่ายังต่ำกว่าเป้าหมาย

นอกจากนี้ยังมีมาตรการเสริมไอโอดีนในน้ำดื่ม ดำเนินการในโครงการส่งเสริมโภชนาการ เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ภายใต้แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ทั้งมาตรการหลักและมาตรการเสริมจะทำให้ครอบคลุมได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย โดยมีเป้าหมายร่วมกันในดำเนินการควบคุม และป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน

“ทั้งนี้ไอโอดีนถือเป็นสารอาหารหนึ่งที่เป็นต้นทุนทางสติปัญญาของทารกแรกเกิดที่สำคัญ  เนื่องจากการขาดสารไอโอดีนจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงช่วงระยะทารกแรกเกิดและเด็กปฐมวัย ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ และหญิงหลังคลอดให้นมบุตร 6 เดือนทุกราย จึงจำเป็นต้องได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน”

S 18497672

พญ.สายพิณ กล่าวว่า การขจัดโรคขาดสารไอโอดีนให้หมดไปจากประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ดำเนินงานแบบบูรณาการ เพื่อผลักดันนโยบายต่างๆให้เป็นรูปธรรม ในระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคมที่ผ่านมา จึงมีการประชุมเชิงปฏิบัติกับภาคีเครือข่ายเรื่อง “พัฒนาศักยภาพบุคลากร สานพลังความร่วมมือถอดบทเรียนการดำเนินงานโรคขาดสารไอโอดีน”

โดยมีกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์ ร่วมกันถอดบทเรียน และช่วยเสริมพลังการดำเนินงานในการควบคุมป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน เพื่อนำไปปรับใช้ในการวางแผนการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Avatar photo