Digital Economy

LINE ระบุอนาคตฟินเทคยังสดใส ‘ไทย ไต้หวัน อินโดนีเซีย’ ตื่นตัว

ผลสำรวจ LINE ระบุอนาคตฟินเทคยังสดใส ผู้บริโภคในไต้หวัน ไทย และอินโดนีเซีย มีความพร้อมสูงสุดในโลกต่อบริการออนไลน์ไร้เงินสดหรือฟินเทค ฟิวเจอร์ ขณะที่ผู้บริโภคในญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ ยังคงรอดูสถานการณ์ แต่ก็ยอมรับว่าบริการดังกล่าวมีความน่าสนใจ

LINE คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยข้อสรุปจากผลสำรวจในแง่ความคิดเห็นและความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทคผ่านกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนกว่า 5,000 คน ในตลาดหลัก 7 แห่ง โดยเน้นไปที่ตลาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ญี่ปุุ่น ไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย รวมไปถึงเกาหลี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พบว่าในภาพรวมยังมีโอกาสสูงที่ฟินเทคจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง หากสร้างความรู้ความเข้าใจและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค

fintech632a354e827d6df1bc1fff00003724d4
ภาพจากเอเอฟพี

ผลสำรวจจากทั้ง 7 ตลาดหลัก พบว่า 64% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจยอมรับว่าเทคโนโลยีทางการเงินช่วยในการวางแผนและจัดการทางการเงินให้ง่ายขึ้น โดยรวมมีความเชื่อมั่นสูงต่อเทคโนโลยีด้านการเงิน คิดเป็น 63% ที่วางใจในผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตัวเองรู้จัก ส่วนอีก 30% ยังไม่มั่นใจ ขณะเดียวกันพบว่าความเชื่อมั่นมีแนวโน้มสูงขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนกลุ่มคนอายุ 55 ปีหรือมากกว่า มีความเชื่อมั่นเพียง 55% เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 18-34 ปี ที่มีความเชื่อมั่นสูงถึง 69% บ่งชี้ว่าฟินเทคมีมูลค่าลงทุนที่สูงกว่ามากในกลุ่มคนรุ่นใหม่

อย่างไรก็ดีจากผลสำรวจทั้งหมด ผู้เข้าร่วมการสำรวจยังมีความรู้ความเข้าใจในบริการและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเงินในระดับต่ำ คือมีเพียง 44% ที่ตอบว่ารู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งในจำนวนนี้คือกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 18-34 ปี โดยมีสัดส่วนสูงถึง 52%

โดยจากบรรดาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่กลุ่มผู้เข้าร่วมการสำรวจต้องการใช้งานผ่านทางมือถือหรือแอพพลิเคชันมากที่สุด ได้แก่ บริการเงินฝาก (65%), บริการโอนเงิน (57%), บริการตรวจสอบยอดบัญชี (48%) และบริการประกันภัย (48%) โดยมีประกันชีวิต (65%), ประกันการเดินทาง (58%) และประกันที่อยู่อาศัย (50%) เป็นประเภทของบริการประกันภัยที่กลุ่มผู้เข้าร่วมการสำรวจต้องการเข้าถึงผ่านช่องทางดังกล่าวมากที่สุด

WeChat Pay mobile payments cashless payments photo 1
ขอบคุณภาพจากแมคโดนัลด์

ความพร้อมต่อฟินเทคยังคงแตกต่างกันมากในแต่ละภูมิภาค

ในขณะที่ผู้เข้าร่วมการสำรวจจากแต่ละประเทศต่างมีความสนใจและความกังวลที่แตกต่างกัน โดยไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย ให้ความสนใจกับการเงินดิจิทัลในอนาคตเป็นอย่างมาก

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของสังคมไร้เงินสดในอนาคตพบว่าคำตอบจากทั้ง 3 ประเทศอยู่ในเกณฑ์บวกถึงกว่า 37% โดยเฉลี่ย ซึ่ง 57% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจในไทยกล่าวว่า “รู้สึกตื่นเต้น” ที่จะเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ 56% และไต้หวันที่ 52% ส่วนเกาหลีก็ตอบรับในเชิงบวกเช่นกันโดยอยู่ที่ 45%

ประเทศเหล่านี้ต่างตอบรับในเชิงบวกกับการซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินผ่านบริการบนมือถือ ซึ่ง 65% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจทั้งหมดจะเปิดบัญชีเงินฝากผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือนำโดยประเทศไทยที่ 83% ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 77% และไต้หวัน 69% (ผลตอบรับในเกาหลีก็ดีเช่นกัน โดยอยู่ที่ 75%)

AR
ภาพจากเอเอฟพี

ขณะที่ผู้เข้าร่วมการสำรวจทั้งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ต่างยังไม่กระตือรือร้นที่จะออกจากระบบการเงินแบบเดิม มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ตื่นเต้นกับสังคมไร้เงินสด โดยญี่ปุ่นอยู่ที่ 24% สหรัฐอเมริกา 20% และสหราชอาณาจักรรั้งท้ายที่ 19%

เฉพาะในญี่ปุ่นถือว่ายังรั้งท้ายประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ในเรื่องของการใช้จ่ายแบบไร้เงินสด อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลญี่ปุ่นเองก็กำลังพยายามที่จะลดการพึ่งพาเงินสดให้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จึงถือว่ายังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมาก

ในส่วนของการซื้อบริการฟินเทคต่างๆ ผ่านทางมือถือ ผลสำรวจจากทั้งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยังถือว่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ย โดยญี่ปุ่นมีจำนวนผู้ที่ต้องการเปิดบัญชีเงินฝากผ่านมือถือน้อยที่สุดเพียง 49% ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 53% และสหราชอาณาจักรที่ 57% (จากผลสำรวจเฉลี่ยที่ 65%) อย่างไรก็ดี ในแง่การลงทุนผ่านทางมือถือสหราชอาณาจักรรั้งท้ายที่ 28% ตามด้วยสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นอยู่ที่ 37% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของผลสำรวจที่ 45%

pg 13 bottom 4
ภาพจากเอเอฟพี

คนญี่ปุ่นยังไม่พอใจกับตัวเลือกในปัจจุบันแต่ก็ยังไม่รู้จักตัวเลือกใหม่ดีนัก

หากเปรียบเทียบกับประเทศไทย อินโดนีเซีย และไต้หวัน ญี่ปุ่นยังรั้งท้ายจากผลสำรวจในแง่ความเชื่อมั่นและความเข้าใจต่อฟินเทค โดยผู้ร่วมการสำรวจที่เชื่อมั่นในฟินเทคมีเพียง 38% หากเทียบกับค่าเฉลี่ยผลสำรวจซึ่งอยู่ที่ 63% และจากรายงาน มีเพียง 22% ที่รู้จักฟินเทคเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 44%

ผลสำรวจระบุว่าชาวญี่ปุ่นนิยมทำธุรกรรมทางธนาคารด้วยตัวเองมากที่สุด (อยู่ที่ 80% เทียบกับผลสำรวจเฉลี่ย 68%) และไม่นิยมทำธุรกรรมดังกล่าวผ่านทางมือถือที่สุด (คิดเป็น 38% เทียบกับผลสำรวจเฉลี่ย 58%) แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่า ญี่ปุ่นรั้งอันดับท้ายในเรื่องความพึงพอใจต่อการให้บริการทางการเงินในปัจจุบัน (คิดเป็น 31% เทียบกับผลสำรวจเฉลี่ย 67%) ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเองก็มีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เช่นกัน

สำหรับ LINE เพื่อตอบรับกระแสดังกล่าวได้มีการเปิดตัว LINE Pay บริการโอนและจ่ายเงินสำหรับแอพพลิเคชั่น LINE ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2557 ซึ่งจนถึงปัจจุบันมียอดผู้สมัครใช้งานถึงกว่า 40 ล้านบัญชี และมียอดทำธุรกรรมทางการเงินทั่วโลกกว่า 450,000 ล้านเยนต่อปี และเมื่อเดือนมกราคม 2561 LINE ยังได้ก่อตั้งบริษัท LINEFinancial คอร์เปอเรชั่น จำกัด หรือ “LINE Financial” เพื่อสร้างสรรค์บริการทางการเงินที่หลากหลายขึ้นสำหรับใช้งานผ่านทางแอพพลิเคชัน LINE ด้วย

https specials images.forbesimg.com imageserve 453092676 960x0

ปัจจุบัน LINE Financial ยังคงนำเสนอบริการด้านประกันภัยผ่านทาง LINE Insurance ด้านการลงทุนผ่านทาง LINE Smart Invest และด้านบริหารการเงินส่วนบุคคลผ่านบริการ LINE Kakeibo ในประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดได้ประกาศแผนการก่อตั้งธนาคาร แพลตฟอร์มให้คะแนนเครดิต และบริการสินเชื่อ โดยกำลังจะนำบริการ
ด้านการเงินใหม่ๆ เหล่านี้เข้าสู่แพลตฟอร์มหลักของ LINE ในอนาคต

“LINE มีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน เรามองเห็นศักยภาพจากความต้องการบริการฟินเทคที่สูงมากในตลาดเอเชีย ขณะเดียวกันเราก็พยายามเอาชนะความท้าทายในแต่ละตลาดที่แตกต่างกันไป” มร. ทาเคชิ อิเดซาวะ ประธานกรรมการบริหาร LINE Corporation กล่าว

Avatar photo