Lifestyle

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์มักเข้ามาอยู่ในความคิดของผมบ่อยครั้ง ว่าชาตินี้ต้องพาร่างผอมๆ ของผมไปเที่ยวที่นั่นให้ได้

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

ที่ผ่านมาผมรู้จักประเทศนี้ผ่านฉากโรแมนติก หิมะขาวโพลนบนยอดเขาสูงในละคร และ ช็อกโกแลตนมแสนอร่อย ที่เพื่อนๆ พี่ๆ ซื้อมาฝาก แต่ไม่เคยได้มีโอกาสทำความรู้จักกันจริงๆ สักที

และแล้วโอกาสก็มาถึง! เมื่อรุ่นพี่ที่เคารพชวนไปท่องดินแดนแห่งเทือกเขาแอลป์ ผมจึงตอบตกลง (แบบแทบไม่ต้องคิด) พร้อมเก็บกระเป๋าเดินทาง จัดตารางชีวิต แล้วบินตรง 12 ชั่วโมง ไปเปิดประสบการณ์ เปิดมุมมองใหม่ๆ

ผมไปถึงสนามบินซูริค (Zurich) ช่วงกลางเดือนมิถุนายน โดยปกติแล้วจะเป็นช่วงซัมเมอร์ แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงทั่วโลก สวิตเซอร์แลนด์จึงต้อนรับการมาของผมด้วยฝนที่โปรยปราย หลายๆ รอบต่อวัน

วันฝนพรำที่ลูเซิร์น

จากซูริค นั่งรถไฟไปยังที่เมืองลูเซิร์น (Lucerne) พร้อมกับน้อง “ฝน” ที่ตามติดผมตลอดสามวันแรกของทริป จนไกด์สาวเจ้าถิ่นถึงกับบ่นอยู่หลายครั้งว่า ปีนี้ฝนตกหนักและนานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

เธอพาพวกเราไปชมไฮไลท์ของลูเซิร์น นั่นก็คือสะพานไม้ชาเพล สะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป อยู่คู่กับเมืองนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 มีความยาว 204 เมตร ทอดข้ามแม่น้ำรอยส์ (Reuss) ให้ผู้คนได้สัญจรไปฝั่งเมืองเก่าได้อย่างสะดวกสบาย

จากนั้น เราเดินไปชมอนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น เลอเวนเดงก์มัล (Löwendenkmal) ประติมากรรมแกะสลักลึกเข้าไปในผาหินเป็นรูปสิงโตกอดโล่ และตราประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสนอนตายมีหอกหักปักคาหลัง

อนุสาวรีย์นี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1821 เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญและวีรกรรมของทหารสวิสกว่า 700 นาย (ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานจากเมืองนี้) ที่พลีชีพปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่16 ในสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1792

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

สิงโตสัญลักษณ์ประจำเมืองลูเซิร์นได้ถูกนำมาสื่อถึงความกล้าและความซื่อสัตย์ของวีรชนชาวลูเซิร์น ผมมองดูสิงโตหินแสนเศร้าท่ามกลางละอองฝน รู้สึกราวกับว่าราชสีห์ตัวนี้กำลังร้องไห้อยู่จริงๆ

อันที่จริงผมเองก็อยากจะร้องไห้เหมือนกัน เพราะได้เวลายามเย็นที่ผมต้องไปล่องเรือครูซ ในทะเลสาบลูเซิร์นแล้ว แต่ฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย

ผมเดินกางร่มขึ้นเรือไปแบบเซ็งๆ พลางคิดว่า นี่เราจะต้องมองวิวผ่านกระจก ฟ้าปิดแบบนี้จริงหรือ…ฮือๆ

เรือแล่นออกจากท่าไกลออกไปเรื่อยๆ ทำให้บ้านเรือนและอาคารแต่ละหลังดูเล็กลงๆ เวลาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง และผมเองก็ล้าจากการเดินมาทั้งวัน จึงเผลอหลับไป

พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีถึงกับงงว่า ตกลงแล้วผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า เพราะภาพที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้มันมากกว่าคำว่าสวยงาม ผมรีบคว้ากล้องแล้ววิ่งไปที่ระเบียงท้ายเรือ เพื่อบันทึกภาพนี้ไว้

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

ภาพผิวน้ำของทะเลสาบลูเซิร์นสีครามกำลังสะท้อนแดดแรกหลังฝนพรำ ตัดกับภูเขาเขียว เมฆขาวและฟ้าใส แถมจิตรกรที่มีชื่อว่า “ธรรมชาติ” ยังได้แต้มสายรุ้งหลากสีมาเป็นของขวัญในวันฝนพรำนี้ด้วย

ผมมองดูภาพเบื้องหน้า พร้อมกับฮัมเพลง “อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจางหาย ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ”

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

โลกคือละคร…เมืองเวเว่ย์

จากความประทับใจในธรรมชาติที่ลูเซิร์น ผมออกเดินทางต่อด้วยรถไฟไปหลายเมือง และมาถึงที่เวเว่ย์ (Vevey) อีกเมืองที่ผมประทับใจมากๆ เพราะผมได้มีโอกาสไปบุกบ้านศิลปินตลกชื่อดังระดับโลก “ชาร์ลี แชปลิน” บ้านหลังสุดท้ายที่เขามาใช้บั้นปลายชีวิตที่สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เข้าชมครั้งแรกในวันคล้ายวันเกิดของเขา 16 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา ในชื่อ พิพิธภัณฑ์ Chaplin’s World

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือโลกมายา เป็นโรงถ่ายฮอลลีวูดจำลองที่ผู้เข้าชมสามารถชื่นชมผลงานการแสดงภาพยนตร์ของชาร์ลี ตั้งแต่ช่วงแรกในกรุงลอนดอนบ้านเกิด จนก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานของฮอลลีวูดที่อเมริกา

ส่วนที่สองคือโลกส่วนตัว บอกเล่าเรื่องราวของชาร์ลี ผ่านข้าวของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ เตียงนอนของเขาจริงๆ ในบ้านหลังใหญ่ติดทะเลสาบเจนีวา

ชาร์ลีเคยกล่าวไว้ว่า Life is a tragedy when seen in close-up but a comedy in long-shot. (ชีวิตเหมือนเรื่องเศร้าหากเรามองแค่ในช่วงสั้นๆ แต่ถ้ามองกันยาวๆมันคือเรื่องตลกดีๆเรื่องนึงนี่เอง) หากใครได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนที่บ้านหลังนี้ จะเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี

ในปี ค.ศ.1952 ชาร์ลีต้องลี้ภัยทางการเมืองจากอเมริกามาอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ แม้ว่าเขามีอายุกว่า 60 ปีแล้ว แต่เขาไม่คิดเกษียณ ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และแรงสร้างสรรค์ เขาเขียนบทภาพยนตร์ แต่งเพลงมากมายในบ้านหลังนี้

swiss3

ผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นเห็นรูปถ่ายใส่กรอบหลายบานตั้งอยู่บนเปียโนริมหน้าต่างบานใหญ่ ภาพของผู้หญิงสูงวัยยิ้มให้ชาร์ลีสะดุดตาผม ผมจึงถามไกด์สาวประจำพิพิธภัณฑ์ว่าเธอคือใคร

ไกด์สาวบอกว่าเธอคือ นักเปียโนระดับตำนาน Clara Haskil เพื่อนรักของชาร์ลีที่สวิตเซอร์แลนด์ มิตรภาพของพวกเขาน่าทึ่งมาก เพราะนักเปียโนชาวสวิส พูดภาษาฝรั่งเศส ขณะที่ชาร์ลีพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น พวกเขาเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจกันโดยมีดนตรีเป็นสื่อกลาง

น่าทึ่งเข้าไปอีก เมื่อรู้ว่าชาร์ลี เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิดระดับมืออาชีพ ทั้งเปียโนและไวโอลินจากการฝึกฝนด้วยตนเอง ไม่เคยมีใครสอนแม้แต่น้อย

ดาราตลกชื่อก้องโลกอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นเวลา25ปีและจากไปอย่างสงบในคืนวันคริสต์มาส ปี ค.ศ.1977เหมือนกับจุดจบของตัวละครเอกในเรื่อง Limelight ที่เขาแต่งไว้ไม่มีผิด

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงโลกของชาร์ลีได้อย่างทันสมัยและอบอุ่น ที่สำคัญยังชวนให้เราขีดเขียนบทละครชีวิตด้วยความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจในทุกๆ วัน

ยิ่งสูง ยิ่งเห็น…ยอดเขา แมทเทอร์ฮอร์น

ผมนั่งรถไฟชมวิวสองข้างทางไปยังจุดหมายต่อไปอยู่ทางตอนใต้ของสวิตเซอร์แลนด์ สถานีต่อไป หมู่บ้านแซร์มัตต์ (Zermatt) หมู่บ้านเล็กๆอันแสนโด่งดังนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนักสกีและนักเดินเขาทั่วโลก

swiss8

หากพิจารณาดูจากลักษณะทางกายภาพและเคมีแล้ว ที่นี่เหมือนอยู่บนสวรรค์จริงๆ แซร์มัตต์อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,608 เมตร ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์ยอดสูงเสียดฟ้าที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี แถมอากาศยังบริสุทธิ์ปลอดมลพิษ เพราะหมู่บ้านแซร์มัตต์ไม่อนุญาตให้รถที่ใช้น้ำมันวิ่ง เราจึงเห็นแต่รถพลังงานไฟฟ้าคันเล็กๆ รถจักรยาน และรถม้าวิ่งไปมาในหมู่บ้านแห่งนี้แทน พูดได้เต็มปากเลยว่าแค่มาหายใจให้เต็มปอดก็คุ้มแล้ว!

หลายคนมาที่แซร์มัตต์เพื่อขึ้นไปชมความยิ่งใหญ่ของยอดเขาหิมะแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn)อันแสนโด่งดัง หลายท่านน่าจะคุ้นภาพยอดเขาทรงพีระมิดที่สูง 4,447 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เพราะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของช็อกโกแลตทอปเบอโรนสัญชาติสวิส และขึ้นชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สวยที่สุดของเทือกเขาแอลป์

มาถึงที่ทั้งทีผมต้องไม่พลาดขึ้นไปทักทายแมทเทอร์ฮอร์นกันใกล้ๆ ผมนั่งรถไฟไต่เขาสูงมาถึงสถานีกอร์เนอร์กราท (Gornergrat) ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,089 เมตร ผมเดินต่อไปอีกไม่ถึงห้านาที ก็มายืนอยู่ที่จุดชมวิว 360องศา

วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจแดดจ้าฟ้าเปิด ผมจึงบันทึกภาพความสง่างามของเทือกเขาแอลป์และยอดเขาหิมะสูง29ยอดที่เรียงรายกันอยู่ได้อย่างจุใจ

ขณะที่ผมกำลังถ่ายภาพอยู่นั้น พลางคิดขึ้นมาว่ายังไม่มีรูปตัวเองเลยสักรูป จึงไหว้วานให้นักปีนเขาชาวเกาหลีที่เดินผ่านมาชักภาพให้ เขาชี้ให้ผมไปยืนตรงผาหินที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาและกรุณาบรรจงกดชัตเตอร์ ภาพที่ได้มานั้นทำให้ผมตะลึงไปชั่วขณะ

เที่ยวไป ได้คิด สวิตเซอร์แลนด์

ในภาพนั้นตัวผมกำลังยืนชูแขนขึ้นฟ้าให้กว้างใหญ่แต่ดูแล้วเทียบไม่ได้สักนิดกับความยิ่งใหญ่ของขุนเขาหิมะด้านหลัง ผมกลายเป็นอนุภาคเล็กจิ๋วในห้วงอวกาศ ทำให้คิดได้ว่า บางทีปัญหาที่ว่าใหญ่ หากเราลองเดินออกมามองไกลๆ จะพบว่าจริงๆแล้ว เล็กนิดเดียว

ทริปนี้ถือว่าคุ้มสมใจอยาก ผมได้เที่ยวชมทัศนียภาพไปตามภูมิภาคต่างๆทั้งที่พูดภาษาเยอรมนี ฝรั่งเศส และ อิตาเลียน ตามเส้นทาง Grand Train Tour หรือ สุดยอดทัวร์รถไฟสวิตเซอร์แลนด์บนระยะทาง 1,280 กิโลเมตร

การเดินทางด้วยรถไฟที่นี่ทำให้อดอิจฉาบ้านเขาไม่ได้ เพราะระบบคมนาคมช่างครอบคลุม เป็นระเบียบ และแสนตรงเวลา ใครวางแผนจะเดินทางด้วยตนเองแนะนำให้ซื้อบัตรSwiss Travel Pass เพราะซื้อครั้งเดียว เที่ยวได้ทั่วสวิตเซอร์แลนด์ แถมเดินทางฟรีด้วยระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะอื่นๆอย่างรถราง รถบัส และเรือ

ตลอดการเดินทางครั้งนี้ ผมได้สูดอากาศบริสุทธิ์มาเต็มปอด เก็บภาพความประทับใจจากทุกสถานี และไม่ลืมที่จะเก็บแรงบันดาลใจไว้เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตไปยังสถานีต่อไป

หาวันลา….เดินหน้าท่องโลก

Life in Phnom Penh…ถึงเวลาต้องเลือก!!

ทาคายาม่า…เมืองเก่าที่เรารัก

Avatar photo
ผู้ประกาศข่าว นักเดินทาง นักฝัน