โควิดพ่นพิษ ทำขาดแคลนเลือดหนัก “สภากาชาดไทย” วอนคนไทยสุขภาพดี ช่วยบริจาคเลือดเร่งด่วน ชี้ โควิดระบาดระลอกใหม่ ส่งผลกระทบ ผู้บริจาคลดลงอย่างมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ขาดแคลนหนัก วิกฤติทั่วประเทศ
วันนี้ (23 เม.ย.) รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้การบริจาคโลหิตลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
โดยที่โรงพยาบาลทั่วประเทศกว่า 340 แห่ง มีความต้องการใช้โลหิตวันละ 6,500 – 7,000 ยูนิต ปัจจุบันปริมาณโลหิตบริจาคทั่วประเทศ ได้เพียงวันละ 2,000 ยูนิตเท่านั้น เนื่องจากจำนวนผู้บริจาคโลหิตลดลงอย่างมากทุกแห่ง หน่วยงานยกเลิกการจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต พนักงานหลายองค์กรต้องทำงานที่บ้าน เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ควบคุมการแพร่ระบาดหรือมีการกักตัว
โรงพยาบาลทุกแห่งขาดเลือด ไม่มีโลหิตเพียงพอในการรักษาและผ่าตัดผู้ป่วย รวมทั้งผู้ป่วยเด็กโรคเลือด อาทิ โรคธาลัสซีเมีย ฮีโมฟีเลีย ที่ต้องใช้เลือดในปริมาณมากและต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การชะลอและเลื่อนการรักษาด้วยโลหิต อาจส่งผลอันตรายแก่ผู้ป่วย ถึงชีวิตได้
ขอให้ผู้บริจาคโลหิตเชื่อมั่นในการทำงานของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ผู้ทำหน้าที่จัดหาโลหิตบริจาคที่ปลอดภัยให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยยกระดับ มาตรการ 3 ข้อ “คัดกรอง เข้มงวด ครอบคลุม” ดังนี้
1. คัดกรอง สำหรับผู้บริจาคโลหิต ขอให้คัดกรองตนเองก่อนมาบริจาคโลหิต เช่น หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ตาแดง มีผื่นขึ้น เดินทางไปยังสถานบันเทิง ตลาด สถานที่แออัด พื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาด หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย/ ผู้ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ COVID-19 ต้องงดบริจาคโลหิตอย่างน้อย 14 วัน
สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 สามารถบริจาคโลหิตได้ ดังนี้
- กรณีฉีดวัคซีนซิโนแวคเว้น 1 สัปดาห์ บริจาคโลหิตได้
- กรณีฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เว้น 4 สัปดาห์ บริจาคโลหิตได้
- หากมีอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน ขอให้รอหลังหายดีแล้ว เว้น 1 สัปดาห์ บริจาคโลหิตได้
2. เข้มงวด บุคลากรมีความตระหนัก และปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ทุกคนในพื้นที่สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา มีแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ทุกจุดสัมผัส สถานที่ และอุปกรณ์สะอาดปลอดเชื้อ จัดให้มี การเว้นระยะห่าง และจัดตั้งฉากกั้น ระหว่างเจ้าหน้าที่ และผู้บริจาคโลหิตทุกจุด ของกระบวนการบริจาคโลหิต
3. ครอบคลุม โดยมาตรการทั้งหมดครอบคลุม ทั้งที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยเคลื่อนที่ และหน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ตามมาตรฐานสากล
สถานที่รับบริจาคโลหิต (ส่วนกลาง)
- ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
- หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ 6 แห่ง ได้แก่ สถานีกาชาด 11 วิเศษนิยม (บางแค) บ้านทรงไทย (ย่านวงศ์สว่าง) เดอะมอลล์ บางแค เดอะมอลล์ บางกะปิ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม
- โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
- สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า
สถานที่รับบริจาคโลหิต (ส่วนภูมิภาค)
ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง ได้แก่
- ภาคฯ จ.ลพบุรี
- ภาคฯ จ.ราชบุรี
- ภาคฯ จ.ขอนแก่น
- ภาคฯ จ.นครสวรรค์
- ภาคฯ จ.เชียงใหม่
- ภาคฯ จ.ภูเก็ต
- ภาคฯ จ.ชลบุรี
- ภาคฯ จ.นครราชสีมา
- ภาคฯ จ.อุบลราชธานี
- ภาคฯ จ.พิษณุโลก
- ภาคฯ จ.สงขลา
- ภาคฯ จ.นครศรีธรรมราช
ขอความร่วมมือ ผู้บริจาคโลหิตต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพและการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงตามความเป็นจริง หากไม่แน่ใจ ควรงดการบริจาคโลหิตชั่วคราว เพื่อเว้นระยะเวลาการพบเชื้อ 14 วัน ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เดินทางมาบริจาคโลหิต และตลอดเวลาที่อยู่ในพื้นที่รับบริจาค
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ถึงเวลาช่วยชาติ ‘หมอยง’ ชวนคนเคยติดโควิด บริจาคพลาสมา รักษาผู้ป่วย
- ‘อุดรธานี’ เอาด้วย! ไม่ใส่ ‘หน้ากากอนามัย’ ออกจากบ้าน ปรับ 2 หมื่นบาท
- ‘บิ๊กตู่’ สั่งแก้ปัญหาระบบรับ-ส่ง ‘ผู้ป่วยโควิด’ อย่างเร่งด่วน!!