Finance

ลุ้น ‘ไทยแลนด์โฟกัส’ ดึงทุนนอกกลับ!!

setup4

ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีงาน “Thailand Focus 2018 : The Future is Now” ชูความโดดเด่นและความน่าสนใจ ศักยภาพของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปัจจุบัน และการเติบโตในอนาคต พร้อมเชิญภาครัฐร่วมให้ข้อมูลแผนยุทธศาสตร์ชาติ และความคืบหน้าของการปฏิรูปประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ บจ. 115 ราย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) 13.65 ล้านล้านบาท คิดเป็น 78% ของมูลค่ารวมของตลาด ร่วมให้ข้อมูลโอกาสการลงทุนและการเติบโตของธุรกิจไทย แก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกที่ตอบรับเข้าร่วมกว่า 150 ราย ในวันที่ 29-31 สิงหาคมนี้

ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มีความเห็นว่า งานไทยแลนด์โฟกัสในครั้งนี้มีสัญญาณที่ดี เพราะมีกองทุนต่างชาติได้ตอบรับเข้ามาร่วมงาน และให้ความสนใจมากกว่าทุกๆปี ขณะเดียวกันถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะมีปัจจัยสนับสนุนทั้งเรื่องพื้นฐานของประเทศไทย โดยเฉพาะภาพรวมเศรษฐกิจมีการเติบโต และแนวโน้มดีต่อเนื่อง

ขณะที่ราคาหุ้นของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำทำให้ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้มีความน่าสนใจมากที่สุดหากเทียบกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ ดังนั้น การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ น่าจะช่วยทำให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อีกครั้ง

“งานไทยแลนด์โฟกัสปีนี้น่าจะคึกคัก และต่างชาติให้ความสนใจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาต่างชาติได้ลดความสนใจตลาดหุ้นในภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากมองว่ายังมีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากปัญหาการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน  รวมถึงวิกฤตปัญหาตุรกี จึงไม่กล้าเข้าลงทุน หรือเพิ่มพอร์ตลงทุน แต่เชื่อว่า เมื่อได้มารับฟังข้อมูลโดยตรงก็น่าจะทำให้สร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น”

ไพบูลย์ ประเมินว่า เงินทุนต่างชาติน่าจะไหลกลับเข้ามา แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมียอดขายสุทธิ แต่ได้ทยอยลดสัดสัดส่วนของการขายไปมากแล้ว และจากนี้ไปน่าจะทยอยปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยของบล.ทิสโก้ ยังมั่นใจว่า เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะทำจุดสูงสุดได้ที่ระดับ 1,850 จุด

investor.png

สอดคล้องกับ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงนี้ปัจจัยสำคัญต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ฝ่ายวิจัยได้ให้น้ำหนักกับการปรับดัชนี MSCI วันที่ 31 สิงหาคม 61 และงาน Thailand Focus ระหว่างวันที่ 29-30 สิงหาคมนี้ ซึ่งมีโอกาสที่เม็ดเงินทุนต่างชาติจะกลับมาสะสมหุ้นหลักของไทย หลังเสร็จสิ้นประเด็นดังกล่าวในต้นเดือนกันยายนนี้ ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนกลับมาพักเงินในหุ้นปันผลเด่น หรือ หุ้นในกลุ่ม Domestic Play ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความเสี่ยงต่างประเทศ

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน(ประเทศไทย) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ อาจจะมีการปรับพอร์ตของต่างชาติจากการที่ MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนเป็น step ที่ 2 ซึ่งจะมีผลในเดือนกันยายนนี้  แต่เชื่อว่าแรงเทขายหรือการไหลออกของเงินทุนจะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงเท่ากับรอบเดือนพฤษภาคมเนื่องจากรอบนี้หุ้นไทยไม่ได้ถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ทิศทางระยะสั้น คาดตลาดน่าจะผันผวนตามปัจจัยภายนอก แต่ระยะกลาง-ยาว ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอานิสงส์จากการเลือกตั้งที่คาดว่าจะอยู่ในกรอบครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งจะส่งผลบวกต่อหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ อาทิ หุ้นBBL, SCB, ROBINS, BJC, PSH, AP, STEC

กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ระยะสั้นราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว เป็นจิตวิทยาบวก กลุ่มโรงกลั่น มองเป็นการซื้อขายระยะสั้นจากค่าการกลั่นผ่านจุดต่ำสุดของปี และราคาหุ้นที่ปรับลดลงมากไป แต่คาดหุ้นไม่ได้ทำ new high หลังผลการดำเนินงานผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้ว  ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อาจมีแรงเก็งกำไรหลังจากการเยี่ยมชมพื้นที่ EEC ของนักธุรกิจจีน และการลงนาม MOU 17 ฉบับ 24-25 สิงหาคมผ่านไป

ขณะที่ฝ่ายวิจัยของบล.ทรีนีตี้ ประเมินภาพรวมดัชนีหุ้นไทย ในช่วงที่เหลือของเดือนส.ค.นี้ น่าจะปรับตัว Sideways ในกรอบแคบๆต่อไป โดยการปรับตัวขึ้นยังคงถูกจำกัดในเชิงของ Valuation เนื่องจากประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ของตลาดที่ถูกปรับลง ในทางกลับกันการปรับตัวลงก็ถูกจำกัด ถึงแม้จะเกิดความเสี่ยงใดๆในต่างประเทศ ณ ช่วงนี้ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีมุมมองว่า ตลาดทุนไทยถือเป็นตลาดที่ค่อนข้างปลอดภัยโดยเปรียบเทียบตลาดอื่นๆ จึงพร้อมโยกเงินเข้ามาพักเมื่อดัชนีมีการปรับตัวลง

นอกจากนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน ยังมีมุมมองที่น่าสนใจคือ ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยได้รับจิตวิทยาบวกจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการควบคุม Naked Short  หรือการสั่งขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะต้องมีการถือครองหุ้นก่อนที่จะทำการ Short ได้ ทำให้ต้องเข้ามาซื้อหุ้นก่อนจะทำรายการดังนั้น คาดว่ามาตรการดังกล่าว จะช่วยลดความผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้พอสมควร

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนการซื้อขายแยกรายกลุ่มนักลงทุนพบว่า ตลอด 8 เดือนต่างชาติมียอดขายสุทธิ อยู่ที่ 1.9 แสนล้านบาท หากพิจารณารายเดือนมีแรงขายต่อเนื่อง โดยเดือนมกราคม 2561 มียอดขายสุทธิอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ ยอดขายสุทธิ 4.13 หมื่นล้านบาท เดือนมีนาคม ยอดขายสุทธิ 1.10 หมื่นล้านบาท เดือนเมษายน ยอดขายสุทธิ 2.14 หมื่นล้านบาท เดือนพฤษภาคม ยอดขายสุทธิ 5.18 หมื่นล้านบาท เดือนมิถุนายน ยอดขายสุทธิ 4.86 หมื่นล้านบาท และเดือนกรกฎาคม ยอดขายสุทธิ 1.06 หมื่นล้านบาทและล่าสุด เดือนสิงหาคม ณ วันที่ 23 ส.ค.มียอดขายสุทธิ 2.80 พันล้านบาท

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า ยอดการซื้อขายของต่างชาติมีสัดส่วนลดลงตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดังนั้นน่าจะสะท้อนว่ามีสัญญาณที่ดีขึ้น และในอดีตที่ผ่านมาในช่วงเดือนที่มีงานไทยแลนด์โฟกัส ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็มักจะตอบรับในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight