COVID-19

ผู้ปกครองกว่า 90% สวมบท ‘ครูเฉพาะกิจ’ สอนลูก ‘เรียนออนไลน์’

เรียนออนไลน์ ดันผู้ปกครองรับบทบาทใหม่ ครูเฉพาะกิจ ยุคเรียนออนไลน์ วิตกบุตรหลานจะไม่ได้เรียนรู้อย่างเพียงพอ แนะเตรียมความพร้อม รับมือวิถีชีวิตใหม่ครอบครัวไทย

ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา หัวหน้า ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า TPAK ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นพ่อแม่ผู้ปกครองในวันที่โรงเรียนยังไม่เปิดเทอม และบุตรหลานต้อง เรียนออนไลน์ และการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)

ผู้ปกครองรับบท ครูเฉพาะกิจยุค เรียนออนไลน์

ทั้งนี้ ผลสำรวจพ่อแม่ผู้ปกครอง จำนวน 1,583 ครอบครัว ในประเด็น “ความกังวลใจหรือความยากลำบากของพ่อแม่ผู้ปกครองต่อการสนับสนุนการเรียนรู้ให้กับบุตรหลานตนเองในช่วงขยายเวลาเปิดเทอม” เดือนพฤษภาคม 2563 พบว่า ผู้ปกครองที่ตอบแบบสอบถามถึง 91.3 % ต้องปรับตัวอย่างมากในการรับบทบาท “ครูเฉพาะกิจ” ซึ่งเป็นชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ของพ่อแม่ผู้ปกครอง

ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้โรงเรียนทั่วประเทศเลื่อนการเปิดเรียนจากเดิมวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 โดยในระหว่างที่ขยายเวลาการเปิดเรียนนั้น ให้นักเรียนใช้ระบบการเรียนทางไกล รวมถึงแนวทางอื่นๆ ที่เหมาะสมตามบริบทของโรงเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะสามารถปฏิบัติได้ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด–19

ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา 1
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา

อย่างไรก็ตาม พบว่า หลายครอบครัว ไม่มั่นใจที่ในการจัดสรรเวลาดูแลบุตรหลาน รวมถึงในประเด็นอื่นๆ ที่หลากหลาย มากกว่าเรื่องของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จะใช้ในการเรียน โดย 5 อันดับความวิตกกังวลของพ่อแม่ผู้ปกครอง ประกอบด้วย อันดับ 1 กังวลว่าบุตรหลานจะไม่ได้เรียนรู้อย่างเพียงพอในเนื้อหาที่จำเป็น ร้อยละ 56.6 อันดับ 2 กังวลเกี่ยวกับการที่บุตรหลานมีพฤติกรรมการเล่นเกม โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต มากขึ้นกว่าปกติ ร้อยละ 52.0

อันดับ 3 กังวลกับค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารและการใช้ชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 32.5 อันดับ 4 ไม่มีเวลาสำหรับการร่วมเล่นหรือการออกกำลังกายกับบุตรหลาน ร้อยละ 30.6 และ อันดับ 5 กลัวว่าบุตรหลานจะติดเชื้อโควิด–19 ร้อยละ 22.6

ความกังวลของผู้ปกครอง จากการ เรียนออนไลน์

จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ภาครัฐต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่างๆ อย่างรอบด้าน ในช่วงเวลาที่เด็กต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนี้ เพราะนอกจากเรื่องการจัดเตรียมระบบการเรียนการสอนทางไกลที่ทางกระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมรับมือไว้แล้ว ยังมีประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาวะโภชนาการของเด็กที่อาจไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวที่มีความขาดแคลน และได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 พฤติกรรมและผลกระทบทางสุขภาพ ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้หน้าจอเพื่อความบันเทิงมากเกินความจำเป็น ตลอดจนการหนุนเสริมทักษะและความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้ให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อรับมือกับบทบาทหน้าที่ใหม่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายณรากร วงษ์สิงห์ หัวหน้ากลุ่มวิจัยพฤติกรรมและปรากฎการณ์ทางสังคม ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาครัฐและหน่วยงานด้านการศึกษา ควรสนับสนุนการบริหารจัดการและขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศในมิติหลัก ดังนี้

ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา 2
นายณรากร วงษ์สิงห์

1. เสริมสร้างทักษะของผู้ปกครองเพื่อการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับบุตรหลานจากที่บ้าน

2. จัดเตรียมเครื่องมือการเรียนรู้ ชุดความรู้ และสื่อสำหรับผู้ปกครอง

3. เตรียมความพร้อมระบบบริหารจัดการและบุคลากรทางการศึกษา

4. ขยายความครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์

ในขณะที่สถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา ควรจัดทำเครื่องมือการเรียนรู้ ชุดความรู้ และสื่อสำหรับผู้ปกครองในการ เรียนออนไลน์ รวมถึงตัวอย่างกิจกรรมที่ผู้ปกครองสามารถนำไปทำตามได้ง่ายและเหมาะสม โดยอาจใช้การเล่นเป็นสิ่งกระตุ้นการเรียนรู้ เช่น วิ่งเล่นพร้อมกับการฝึกคิดเลข ทำกายบริหารพร้อมกับการท่องคำศัพท์ และฝึกการทรงตัวพร้อมกับการอ่านหนังสือหรือคิดเลขในใจ เป็นต้น

“หนึ่งในชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองคือการรับหน้าที่ครูเฉพาะกิจในยามที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ รวมถึงในวันที่รูปแบบการดำเนินชีวิตในสังคมมีการปรับเปลี่ยนไป”นายณรากร กล่าว

ดังนั้น หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีการเตรียมความพร้อมโดยอาศัยประสบการณ์ที่ได้จากสถานการณ์โควิด–19 ครั้งนี้เป็นบทเรียนก็จะช่วยให้การทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับบุตรหลานจากที่บ้านเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

AW Thaidotcare poll4 Parenting

สำหรับข้อแนะนำสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง คือ ควรติดตามข่าวสารและติดต่อสื่อสารกับโรงเรียนของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมในสิ่งเหล่านี้ คือ

1. จัดตารางการเรียนรู้และการทำกิจกรรมในแต่ละวันบุตรหลานให้เหมาะสมตามช่วงวัย

2. กระตุ้นให้บุตรหลานมีกิจกรรมทางกาย/เล่น/ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าเด็กอายุ 5–17 ปี ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 60 นาทีทุกวัน

3. จัดพื้นที่การเรียนรู้ อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเรียน

4. ควบคุมเวลาการใช้หน้าจอและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อความบันเทิงของบุตรหลานไม่ให้เกินความจำเป็น เช่น เด็กอายุ 6–17 ปี ไม่ควรเกินวันละ 2 ชั่วโมง และไม่รบกวนกิจกรรมหลัก เช่น การนอนหลับ การมีกิจกรรมทางกาย การรับประทานอาหาร การเรียนหนังสือ การทำการบ้าน การช่วยเหลืองานบ้าน รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว

Avatar photo