Economics

พาณิชย์จับตาสถานการณ์ตุรกีเชื่อไม่ฉุดเป้าส่งออก

49061
ภาพจาก tpso.moc.go.th

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและตุรกี โดยความสัมพันธ์ทางการเมืองของ 2 ประเทศที่ผ่านมาไม่ค่อยราบรื่นนัก เมื่อรวมกับสหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากตุรกี 50% และ 20% ตามลำดับ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นค่าเงินและเศรษฐกิจตุรกี ทำให้ค่าเงินตุรกีลดลง 45.0% เมื่อเทียบกับต้นปี และส่งผลให้ภาระการชำระหนี้ของตุรกีจะเพิ่มขึ้น โดยหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนคิดเป็น 70% ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด หรือมูลค่า 325,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการกู้ยืมจากธนาคารของยุโรป โดยเป็นธนาคารสเปนและฝรั่งเศส ประมาณ 82,000 และ 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ และเป็นหนี้ต่างประเทศระยะสั้นภาคเอกชน (ครบกำหนดชำระหนี้น้อยกว่า 1 ปี) 98,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ความกังวลที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ตุรกีมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการคลัง (twin deficit) ที่ 5.5% และ 3.1% ตามลำดับ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานอยู่ในระดับที่สูงถึง 11.1% และ 11.2% ในปี 2560 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าปี 2561 จีดีพีตุรกีจะขยายตัว 4.4% ชะลอลงจาก 7.0% ในปีก่อนหน้า

สำหรับผลกระทบต่อไทยระยะสั้นสถานการณ์จะเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดเงินและตลาดทุนไทย ทำให้ค่าเงินอาจจะอ่อนค่าและตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับลดลงชั่วคราว สำหรับการส่งออกจากไทยไปตุรกีมีความเสี่ยงที่จะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจตุรกีมีแนวโน้มถดถอย และการอ่อนค่าเงินอย่างรุนแรง ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น และส่งผลต่อเนื่องทำให้ความต้องการนำเข้าลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทย-ตุรกีจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการส่งออกไทยทั้งปี 2561 ที่ 8.0%

ทั้งนี้ ประเทศตุรกีเป็นตลาดส่งออกของไทยอันดับที่ 33 มีมูลค่าการส่งออกครึ่งปีแรก (ม.ค.- มิ.ย.) อยู่ที่ 644.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 0.51% ของการส่งออกไทยทั้งหมด และขยายตัว 4.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ประกอบด้วย รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศ เส้นใยประดิษฐ์ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก และตู้เย็น เป็นต้น

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK