พรีเมียร์ลีก ยืนยันว่ามีความตั้งใจที่จะให้ฤดูกาล 2019-20 กลับมาแข่งต่อให้จบซีซั่นเหมือนเดิม หลังจากประชุมร่วมกับทั้ง 20 สโมสร ผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา
พรีเมียร์ลีกระงับการแข่งตั้งแต่ 13 มีนาคมและยังไม่มีกำหนดกลับมาเตะต่อแบบชัดเจน โดยก่อนหน้านี้ในการประชุมของพรีเมียร์ลีก เมื่อต้นเดือนเมษายนยืนยันว่าจะกลับมาเล่นกันได้อีกครั้งต่อเมื่อสถานการณ์ไวรัสโควิด-19ปลอดภัยแล้วเท่านั้น
โดยล่าสุดผลการประชุมยืนยันต้องการให้เล่นเกมที่เหลือให้จบทั้ง 92 เกมแต่ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาว่าจะต้องเตะจบเมื่อไหร่
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะมีการพูดถึงเรื่องต้องการให้ลีกจบลงในวันที่ 30 มิถุนายนเนื่องจากถ้าเกิดเลยไปแล้วอาจจะเกิดปัญหาหลายอย่าง ไม่ได้มีถูกนำมาหารือในการประชุมที่ใช้เวลา 2 ชั่วโมงแต่อย่างใด เพราะมองว่ายังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะคุยกันเรื่องนี้
พรีเมียร์ลีก แถลงว่า “เช่นเดียวกับธุรกิจและอุตสาหกรรมอื่นๆ พรีเมียร์ลีก และสโมสรกำลังทำงานหาทางแก้ไขสถานการณ์อันซับซ้อน พวกเราติดต่อกับผู้ถือหุ้นสโมสร รวมทั้งหุ้นส่วนที่ทำการถ่ายทอดสด เป้าหมายเราคือทำให้แน่ใจว่า เราอยู่ในสถานะที่จะกลับมาเล่นต่อได้เมื่อปลอดภัยและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล”
“เรื่องสุขภาพและคุณภาพชีวิตของนักเตะ โค้ช ผู้จัดการทีม เจ้าหน้าที่สโมสร และแฟนบอลเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก และลีกจะกลับมาเตะได้ก็ต่อเมื่อแพทย์อนุญาตแล้วเท่านั้น การประชุมวันนี้เป็นโอกาสในการคุยกันถึงเรื่องรูปแบบโปรแกรมการแข่งขันเท่าที่จะเป็นไปได้ เรายังมีเป้าหมายที่จะเล่นให้จบฤดูกาล 2019/20 แต่ในขั้นตอนนี้ยังไม่สามารถกำหนดวันที่แน่นอนได้ในขณะที่ยังมีผลกระทบจากโควิด-19”
จากการที่ยังไม่กำหนดวันจบซีซั่นทำให้ยังมีการโต้เถียงเรื่องนักเตะที่จะหมดสัญญาในวันที่ 30 มิถุนายน อาทิ อย่าง วิลเลี่ยน กองกลางเชลซี และ แยน แฟร์ตองเก้น กองหลังท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เนื่องจากถ้าการแข่งขันยืดเยื้อจนเลยจากนั้นไปแล้ว อาจทำให้สโมสรต้องเสียนักเตะก่อนจบฤดูกาล
ก่อนหน้านี้ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เคยบอกว่าพร้อมใช้มาตรการพิเศษเพื่อช่วยเหลือเรื่องสัญญาของนักเตะ แต่การที่ประเทศอังกฤษมีกฎหมายแบบพิเศษเรื่องสัญญาอาจจะทำให้มาตรการของ ฟีฟ่า ไม่สามารถนำมาใช้ในอังกฤษได้
นอกจากนี้วันที่ 30 มิถุนายน ยังเป็นวันที่แต่ละสโมสรจะเปลี่ยนผู้สนับสนุนชุดแข่งด้วย อย่าง ลิเวอร์พูล ที่จะเปลี่ยนสปอนเซอร์จาก นิว บาลานซ์ มาเป็น ไนกี้ เช่นเดียวกับ วัตฟอร์ด และ นิวคาสเซิ่ล
