“อนุทิน” เผยไม่ปิดกั้นชุมนุม แต่ขอให้คำนึงถึงส่วนร่ม โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ต้องคุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เล็งใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ควบคุม เตือน ห้ามแล้วไม่ฟัง ผู้จัดชุมชุมนุมต้องรับผิดชอบ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับคณะผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข ถึงมาตรการการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคปิดอักเสบอันเกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ Covid-19 ระบุว่า มีประกาศในราชกิจจานุเบกให้โรค Covid-19 เป็นโรคระบาดอันตรายแล้ว
หลังจากนี้จากนี้ เจ้าหน้าที่จะได้รับความสะดวกในการทำงานมากขึ้น สามารถสั่งห้ามการเดินทาง สั่งกักตัวได้ แต่จะทำภายใต้ความเหมาะสม
ปัจจุบัน การควบคุมโรคของไทยถือว่าทำได้ดี จากที่เคยมีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 2 ของโรค ล่าสุดไทยอยู่อันดับที่ 13 และจะยืดเวลาให้การระบาดอยู่ในระดับที่ 2 นานที่สุด แต่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
สำหรับการชุมนุมแสดงจุดยืนทางการเมือง รัฐบาลไม่ปิดกั้นความต้องการ แต่ขอให้คำนึงถึงภาพรวมของสังคม เพราะ โควิด-19 เป็นโรคที่รักษาได้ แต่ติดง่าย การไปอยู่รวมกัน ทำให้มีโอกาสติดโรคสูงขึ้น
“หากติดเชื้อ 1 คน ทางกระทรวงสาธารณสุข ต้องตามไปคุมโรคกับคนใกล้ชิดอย่างน้อยที่สุดคือ 30 คน แล้วถ้าเกิดรับเชื้อพร้อมกันทีละมากๆ ย่อมจะเป็นงานหนักในการคุมโรคแน่นอน ขอให้คิดกันให้หนักๆ ก่อนจะร่วมกิจกรรมใดๆ และให้ลองคิดดูว่ามันจะมีวิธีแสดงออกด้วยวิธีอื่นหรือไม่”นายอนุทินกล่าว
ในส่วนของการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มนักศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ในช่วงเย็นวันนี้ (29ก.พ.) รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ นั้น ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องตระหนักถึงอันตราย และต้องเข้าใจว่าขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะมีการแพร่ระบาดของโรค การรวมตัวกัน ของคนหมู่มาก ก็จะทำให้การระบาดมากขึ้น
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้แสดงความกังวลไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และได้เรียนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ว่าหากจะมีคำสั่งออกมาอย่างไร ตามกฎหมายที่แต่ละฝ่ายมีอำนาจอยู่ก็สามารถดำเนินการได้ เพราะในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขทำได้เพียงแค่แจ้งเตือน และขอความร่วมมือ
นอกจากนี้ ยังพิจารณาว่า จะนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาใช้ในการควบคุมไม่ให้เกิดการชุมนุม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากห้ามแล้วแต่ไม่ฟัง ผู้จัดงานหรือหากจัดการชุมนุมก็ต้องรับผิดชอบ หากเป็นสาเหตุทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค
