General

อย่าตื่นกลัว!! ‘อนุทิน’ แจงปมจ่อยกระดับ ‘โควิด-19’ เป็นโรคติดต่อร้ายแรง

“อนุทิน” โพสต์แจงยิบกรณีจ่อยกระดับ “โควิด-19” เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ชี้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน ขอประชาชนอย่าตื่นกลัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีข่าวว่าภายในวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ จะมีการหารือเพื่อยกระดับโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรงนั้น

ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก “Anutin Charnvirakul” ถึงประเด็นดังกล่าว ระบุว่า โรคติดต่ออันตราย หรือ โรคติดต่อร้ายแรง ทำไมจึงมีการเสนอให้ covid19 เป็นโรคติดต่ออันตราย เมื่อประกาศเป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว จะมีผลอย่างไรบ้าง ตื่นตัว อย่างมีความรู้ แต่อย่าตื่นกลัวครับ

อนุทิน

การออกประกาศว่าโรคใดเป็นโรคติดต่อร้ายแรงจะกระทำเมื่อคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อมีมติของที่ประชุมแล้วจึงนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในประกาศ คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อส่วนใหญ่คือแพทย์ผู้มีความชำนาญและประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี หากจะต้องมีการประกาศให้โรค COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว ประชาชนทั่วไปก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติเหมือนทุกวันครับ

การประกาศ เป็นฐานให้บังคับใช้ข้อกำหนดในกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติโรคติดต่อได้โดยสะดวก เมื่อมีความจำเป็น เช่น การประกาศว่าเมืองใด ในประเทศใด เป็นเขตติดโรค เพื่อใช้มาตรการคัดกรอง หรือกักกันผู้เดินทางจากเมืองนั้นๆ ด้วยความเร่งด่วน ก็จะสามารถกระทำได้ทันที

การประกาศเรื่องนี้จะยังผลให้เกิดความมั่นใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานว่ามีกฏหมายรองรับ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ย่อมได้รับคุ้มครองการปฏิบัติงานหากกระทำไปด้วยเจตนารมณ์ที่สุจริตเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคเหล่านี้ ที่ผ่านมาในอดีต มีการประกาศโรคติดต่ออันตรายแล้ว 13 ครั้ง และในที่สุดเราก็จัดการกับมันได้ทุกครั้ง โรคเหล่านี้ก็ไม่เคยกลับมากล้ำกรายพวกเราอีกเลย ต่อให้มันกลับมา เราก็มีความสามารถที่จะจัดการกับมันได้

สรุป การประกาศนี้ทำให้เจ้าหน้าที่การสาธารณสุขสามารถปฏิบัติงานได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น #ส่งผลดีและเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ไม่มีอะไรต้องหวั่นหรือวิตกครับ #ตื่นตัวแต่อย่าตื่นกลัวครับ ขอให้เชื่อถือเฉพาะข่าวสารและข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขที่มีการแถลงต่อพี่น้องประชาชนทุกวันเป็นสำคัญ

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK