วันนี้ (21 ม.ค.) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวหา นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีชื่อลงมติในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาฯ ว่า ได้มอบหมายให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปตรวจสอบ หาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว ซึ่งการตรวจสอบกล้องวงจรปิดย้อนหลังต้องใช้เวลา ต้องให้เวลาในการทำงานด้วย
อย่างไรก็ตาม นายชวน ระบุว่า ปกติแล้วบัตรลงคะแนนมักอยู่ที่ ส.ส.แต่ละคน แต่ ส.ส.ส่วนหนึ่งมักทิ้งบัตรคาเครื่องลงคะแนนไว้จริงๆ แต่เมื่อเลิกประชุมแล้ว เจ้าหน้าที่จะไปดึงบัตรเหล่านี้ออกจากเครื่องในทุกที่นั่งแล้วนำมาเก็บไว้ พอตอนเช้ามา ส.ส.จะมาขอบัตรลงคะแนนจากเจ้าหน้าที่ที่เก็บไว้
นายชวน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยสั่งให้ตรวจสอบกรณี นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ในกรณีลักษณะเดียวกัน แต่สุดท้ายแล้วไม่สามารถชี้ได้ว่าใครเป็นคนกดบัตรให้ ที่ผ่านมาเตือนตลอดเวลาว่า อย่าไปลงมติซ้ำหรือไปทำอะไรผิด เพราะสภานิติบัญญัติต้องเป็นแบบอย่างในการเคารพเสียงประชาชน และกติกาบ้านเมือง อะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องไม่ทำ ได้เตือนตลอดเวลาให้ระมัดระวังเรื่องเหล่านี้
ส่วนเรื่องที่ว่า การเสียบบัตรคาเครื่องไว้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการกดบัตรแทนกันได้หรือไม่นั้น นายชวน กล่าวว่า โดยทั่วไปถ้าไม่สมคบกัน คงไม่มี อยู่ดีๆ จะไปกดบัตรแทนคนอื่นได้อย่างไร
การเสียบบัตรคาไว้เป็นเรื่องปกติ เพราะบางเรื่องต้องลงมติหลายครั้ง เช่น เรื่องงบประมาณ ส.ส.จะเสียบบัตรคาไว้ แต่ถ้าเสียบคาไว้ แล้วคนอื่นมากดแทนให้ไม่ค่อยมี ยกเว้นแต่ฝากให้เพื่อนมากดแทน ก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ หากพบว่ามีการกดบัตรแทนกัน ก็ต้องมีมาตรการบางอย่าง ต้องดูเจตนารมณ์ เรื่องนี้อยู่ที่ความรับผิดชอบแต่ละคน ขอรอดูผลสอบก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีจะดำเนินการอย่างไร
สำหรับเรื่องที่ว่า จะทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว เป็นโมฆะหรือไม่นั้น ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า เป็นคนละเรื่องกัน สภาฯ ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องการกดบัตรแทนกัน แต่โดยหลักแล้ว บัตรของใครถือว่าเป็นของคนนั้นเป็นผู้ทำหน้าที่ แต่ในทางปฏิบัติอาจเป็นไปได้ที่มีคนแอบฝากกัน แต่ไม่สามารถเป็นเหตุที่จะอ้างได้
