2 ภารกิจชาติ ปี 2563 กรมเชื้อเพลิงฯ “สราวุธ” หัวหอก เดินหน้าหาข้อมูล-แสวงหาความร่วมมือ ประเมิน OCA ต้องแขวนขีดเส้นเขตแดน ปักพื้นที่พัฒนาร่วมเท่านั้น ย้ำเดินหน้าได้ต้อง “Political Voice” เท่านั้น
ภารกิจใหญ่ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในปีนี้ “ไม่หมู” เหมือนเคย ต้องทำหน้าที่เป็น “ปู่โสม” รักษาสมบัติชาติ ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางสร้างประโยชน์สูงสุดกลับมาจากสมบัติที่มีอยู่ ในยามที่ประเทศต้องการแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจ โดย 2 เรื่องใหญ่ในปี 2563 ของกรมนี้ ก็คือการพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา (Overlapping Claims Area :OCA) และการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่
มีดร.สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ คนรุ่นใหม่วัย 45 ที่เข้ามารับตำแหน่งแบบปัจจุบันทันด่วน แต่ไม่ต้องลุ้นให้มากความ เพราะทำงานเข้าตาเข้าทางมานาน โดยครม.มีมติให้เขาเป็นอธิบดีกรมเชื้อเพลิงฯ เมื่อ 15 ตุลาคม 2562 เรียกได้ว่าเข้ามาเพื่อรับงานเต็มสองมือ ยังไม่ทันนั่งเก้าอี้ดี ก็มีบทบาทสะสางให้เรื่องคลี่คลายไปแล้วสำหรับข้อพิพาทการรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมระหว่างผู้รับสัมปทานรายเก่า อย่างเชฟรอนกับกระทรวงพลังงาน จนเชฟรอน ผ่อนคลายใช้วิธีเจรจาหาข้อยุติแทนการเข้ากระบวนการอนุญาโตตุลาการ
มาปีนี้มี 2 เรื่องใหญ่รอลุ้นอยู่ เขา ระบุว่า ทั้งเรื่อง OCA และสัมปทานรอบใหม่ อยู่ภายใต้นโยบายของกระทรวงพลังงาน ที่มอบให้กรมเชื้อเพลิงฯ เร่งดำเนินการในปีนี้ ในส่วนของ OCA นั้น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มอบให้กรมฯหาวิธีการที่เหมาะสม
โดยเราได้เริ่มศึกษาข้อมูลต่างๆ และหาทางออกที่ดีที่สุด คอนเซปต์ที่วางไว้ให้เรื่องนี้เดินหน้าไปได้ ก็คือ การปลดล็อกอุปสรรคใหญ่ ด้วยการมองข้ามเส้นเขตแดนไปก่อน และขีดบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยกัมพูชาจุดใดจุดหนึ่งจากทั้งหมด 26,000 ตร.กม. เพื่อพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกันของสองประเทศ เหมือนไทยมาเลเซีย ที่มีพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย หรือ JDA (Joint Development Area) ภายใต้การดำเนินงานขององค์กรไทย-มาเลเซีย (Malaysia -Thailand Joint Development Area :MTJDA)
แต่ยังบอกไม่ได้ว่าพื้นที่ที่จะขีดร่วมกัน ควรจะเป็นจุดไหน และศักยภาพของปิโตรเลียมจะเป็นเท่าไหร่ ตอนนี้ตนเองและทีมของกรมเชื้อเพลิงฯพยายามหาเอกสารข้อมูล รวมถึงพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เบื้องต้นเห็นว่าการพัฒนาร่วมกันของสองประเทศ โดยไม่ยังพูดถึงการลากเส้นเขตแดน เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ แต่แนวคิดนี้ก็ต้องผ่านกระบวนการ Test Concept ด้วย
“หากรอให้การลากเส้นแขตแดนก่อน คงไม่จบ เพราะการลากเส้น ทำได้เป็นร้อยเส้น และแต่ละเส้น ก็ล้วนมีทฤษฎีรองรับ แม้เราจะเลือกเส้นที่ดีที่สุด แต่ทางกัมพูชาก็อาจคิดไม่เหมือนเรา เพราะการตีเส้นหมายถึงอธิบไตยของประเทศ ต่างยอมกันไม่ได้ “
นายสราวุธ ย้ำว่า เรื่องนี้คงไม่เร็ว ไม่ต่ำกว่า 2 ปีถึงจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง เพราะไทยมีระบบสอบคานอำนาจกัน และมีความเห็นแตกต่างค่อนข้างมาก การเดินหน้าเรื่องนี้ต้องแสวงหาการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเสียก่อน ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพเรือ ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เป็นต้น และสุดท้ายต้องเป็น Political Voice ที่จะมากดปุ่ม
“มองในภาพรวมแล้ว การพัฒนร่วมเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะอย่างไรเสียเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด การมาทะเลาะกันไม่เกิดประโยชน์ใดๆ สู้มาพัฒนาร่วมกัน เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศจะดีกว่า”
หากมองเฉพาะประเทศไทย แน่นอนว่า หากพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในบริเวณนี้ จะช่วยต่อลมหายใจให้ก๊าซธรรมชาติของไทย ให้เรามีความมั่นคง และยั่งยืนทางพลังงานไปอีกระยะหนึ่ง
เพราะปัจจุบันเรามีปริมาณสำรองก๊าซฯอยู่ราว 10 ล้านล้านลบ.ฟุต (TCF) ขณะที่เราใช้ 1 ล้านลบ.ฟุตต่อปี ดังนั้นภายใน 10 กว่าปีก๊าซฯสำรองจะหมดลง โดยเฉพาะหลังจากแหล่งบงกชและเอราวัณในอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ป้อนการใช้งานในประเทศราว 70% หมดไปในปี 2575 แหล่งปิโตรเลียมใน OCA จะเข้ามาแทนที่ ให้เราผลิตก๊าซฯใช้่ในประเทศได้ต่อเนื่องราว 10 ปีจากนั้น
“ต่อลมหายใจให้อุตสาหกรรม ซึ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ก็หมายถึงต่อลมหายใจให้ประเทศไทยด้วย ” เขา ย้ำ
ทั้งนี้อาจมีข้อแย้งว่า เรามีทางเลือกในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ทดแทนก๊าซฯในอ่าวที่ลดลง รวมไปถึงการที่ไทยกำลังยกระดับเป็นศูนย์กลางค้า LNG ด้วย
แต่นายสราวุธ มองในอีกมุมหนึ่งว่า ในภาพรวมแล้ว การค้า LNG ที่ซื้อมาขายไป ประเทศไม่ได้อะไรนอกจากค่าธรรมเนียมเล็กน้อย เทียบกับการสำรวจ และพัฒนาก๊าซฯในอ่าว ซึ่งประเทศจะได้ทั้งค่าภาคหลวง การจ้างงาน สร้างอาชีพ และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ที่หักจากรายได้สุทธิจากการประกอบกิจการปิโตรเลียมของผู้รับสัมปทานไม่น้อยกว่า 50%
อีกเรื่องเดียวกันที่เป็นภารกิจของกรมเชื้อเพลิงฯปีนี้ ก็คือ การแสวงหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆในประเทศไทย ด้วยการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ นายสราวุธ บอกว่า กำลังดูข้อมูลว่าจะเปิดแปลงใดบ้าง เน้นหนักในอ่าวเป็นหลัก เพราะแหล่งบนบกทำได้ยากกว่าจากหลายๆปัจจัย คาดว่าจะเปิดสัมปทานได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตามก่อนจะเคาะหมายเลขแปลง เพื่อเปิดให้สัมปทานนั้น ต้องประเมินก่อนว่าแปลงนั้น มีศักยภาพมากพอ เพื่อให้ผู้ประกอบการสนใจ และพัฒนาได้จริง เขา บอกอย่างอ่อนใจว่า บ้านเราไม่ได้มีศักยภาพมาก รอบ 12 ปีที่ผ่านมาสัมปทาน ที่เปิดไปนั้น ไม่พบปริมาณปิโตรเลียมเลย ปริมาณปิโตรเลียมที่ประเทศใช้ทุกวันนี้มาจากการเปิดรอบ 1 และ 2 เท่านั้น และสัดส่วน 70% มาจากแหล่งบงกชเอราวัณ
“สัมปทานปิโตรเลียมรอบนี้ จะเป็นรอบที่ 23 และอาจจะนำแปลงที่เปิดไป และพัฒนาไม่เจอ มาเปิดรอบใหม่ อย่างไรก็ตามกรมฯก็ต้องประเมินศักยภาพก่อนเบื้องต้น เพื่อดึงดูดนักลงทุน เขาสนใจ และผลิตได้ ถึงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างแท้จริง จากรายได้ต่างๆที่เข้ารัฐ “
ทั้งสองภารกิจของกรมเชื้อเพลิงฯปีนี้ หากทำให้เป็นรูปธรรมได้จริง ต้องยกประโยชน์ให้แม่ทัพของกรมฯ ที่ตอนนี้ไม่ได้วางเว้นในการหาข้อมูล และหาความร่วมมือรอบด้าน แต่เหนือไปกว่านั้นการสนับสนุนของภาคการเมือง และทุกกรมกองที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาชนก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยมีประโยชน์ประเทศเป็นเป้าหมายร่วม เพราะงานช้างระดับนี้ ไม่ง่าย ลุยลำพังก็อาจ “ตายลำพังได้”