“ลดใช้ถุงพลาสติก” เทรนด์รักษ์โลกแห่งปี ปรับพฤติกรรมคนไทยลดขยะพลาสติก ปี 63 ขยายกลุ่มเป้าหมายเจาะ “ตลาดสด” ประเด็นความท้าทายใหม่ ก่อนประกาศลดถุงพลาสติกเบ็ดเสร็จปี 64
ข้อมูลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ระบุว่า รอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วถึงจำนวน 45,000 ล้านใบต่อปี โฟมบรรจุอาหาร 6,758 ล้านใบต่อปี แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 9,750 ล้านใบต่อปี
ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 หรือ 2 วันมาแล้ว ที่กระทรวงทรัพยากรฯ ฟันธงเริ่มดีเดย์ขอความร่วมมือห้างร้านใหญ่ งดแจกถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastic) มีห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อรายใหญ่มาเข้าร่วมมากขึ้นกว่า 80 บริษัท สร้างกระแสการตื่นตัวได้มากกว่าการรณรงค์ไปเรื่อยๆก่อนหน้านี้ และได้ผลชัดเจน เพียงแค่ 2 วัน หลายร้านลดการใช้ถุงได้นับหมื่นใบ ข้อมูลระบุว่า การลดถุงพลาสติกเพียง 1 ใบต่อคนต่อวัน ช่วยลดขยะถุงพลาสติกได้ถึง 24,445 ล้านใบต่อปีเลยทีเดียว
ทำไมเราถึงต้องรณรงค์ถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวเป็นประเด็นใหญ่ จากข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ พบว่าขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นทุกวัน จากหลายปัจจัย ทั้งการขยายตัวของชุมชนเมือง การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการบริโภค ในปี 2561 มีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นประมาณ 27.8 ล้านตัน หรือประมาณ 76,200 ตันต่อวัน หรือโดยเฉลี่ย 1 คน สร้างขยะ 1.17 กก.ต่อวัน ซึ่งปริมาณขยะเพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลล่าสุด ปี 2561 เพิ่มจากปี 2560 สัดส่วน 1.64%
สำคัญไปกว่านั้น ขยะเหล่านี้ ถูกคัดแยก และนำกลับไปใช้ประโยชน์ 9.58 ล้านตัน หรือ 34% กำจัดอย่างถูกต้อง 10.88 ล้านตัน หรือ 39% และกำจัดไม่ถูกต้อง 7.36 ล้านตัน หรือ 27% มาทั้งในรูปการเทกอง เผา ลักลอบทิ้งในพื้นที่สาธารณประโยชน์ และทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ
และขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นแต่ละวัน แยกเป็นขยะพลาสติกประมาณ 2 ล้านตัน เช่นเดียวกันถูกนำกลับไปใช้ประโยชน์เพียง 0.5 ล้านตัน อีกจำนวน 1.5 ล้านตันถูกทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็น “พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง” อาทิ ถุงร้อน ถุงเย็น ถุงหูหิ้ว แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก กล่องโฟมบรรจุอาหาร นับเป็นการใช้งานที่สั้น ขณะที่ขยะพลาสติกใช้เวลาย่อยสลาย 400-450 ปี
เมื่อบวกกับพฤติกรรมการทิ้งขวางขยะ ทำให้ขยะพลาสติก โดยเฉพาะถุงพลาสติก เข้าไปอุดท่อระบายน้ำ ก่อปัญหาน้ำท่วมขัง และลอยเป็นขยะในแม่น้ำลำคลอง และทะเลในที่สุด ทำให้ไทยมีปริมาณขยะในทะเล ติดอันดับ 6 ของโลก จากปริมาณขยะสะสม 1 ล้านตัน ลุกลามกลายเป็นปัญหาขยะเกลื่อนทะเล และไมโครพลาสติก กระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และสิ่งมีชีวิต สุดท้ายกลับมาที่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์
ปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรฯ จึงเน้นเป้าหมายไปที่การลดผลกระทบที่เกิดจากการใช้ถุงพลาสติกครั้งเดียว ภายใต้ Roadmap ด้านการจัดการขยะพลาสติก (พ.ศ. 2561 – 2573) เริ่มแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563 ในการงดให้และรับถุงพลาสติก ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ได้รณรงค์มาแล้ว ตั้งแต่ 21 กรกฎาคม 2561 จนถึงปัจจุบัน สามารถลดถุงพลาสติกหูหิ้ว ทั้งจากตลาดสด และห้างสรรพสินค้าได้ถึง 3,000 ล้านใบ และวางเป้าหมายสเต็ปต่อไปปี 2564 ถุงพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียว จะถูกยกเลิกอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามแหล่งที่มาของถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง นอกจากห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ ที่มีการแจกถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง อัตราส่วน 30% หรือประมาณ 13,500 ล้านใบต่อปีแล้ว ถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ยังมาจากร้านค้าโชห่วยรายย่อย สัดส่วน 30% และ ตลาดสดท้องถิ่น สัดส่วน 40 % หรือ 30,000 ล้านใบต่อปีมาจากแหล่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง เพราะมีทั้งเนื้อสัตว์สด อาหารทะเลสด ผักสด ที่ทั้งให้ และรับถุงพลาสติกกันจนเคยชิน 1 ใบไม่พอซ้อน 2 หรือ 3 อีกด้วย
ดังนั้นใน 1 ปีก่อนการยกเลิกถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง จำเป็นต้องรณรงค์อย่างเข้มข้นกับประชาชน เพื่อให้วางแผนการจับจ่าย ถือภาชนะอะไรมาก็ได้ติดตัวมาจ่ายตลาด พ่อค้าแม่ขายเองก็ต้องร่วมมือ ไม่ยัดเยียดให้ รวมถึงผู้ดูแลรับผิดชอบตลาดทั้งหน่วยงานรัฐ และผู้ประกอบการเจ้าของตลาดออกแรงโปรโมท เพื่อสร้างการตื่นรู้ ตระหนัก นำไปสู่การปรับพฤติกรรม และเลยไปถึงถือคัมภีร์ 3Rs ประกอบด้วย Reduce Reuse Recycle เป็นแผนที่นำทางวิถีชีวิตใหม่แบบ “รักษ์โลก”
นอกจากการรณรงค์ลดถุงพลาสติกแล้ว กระทรวงทรัพยากรฯ ยังจะมีมาตรการอื่นๆตามมาด้วย โดยจะบังคับลดและเลิกใช้พลาสติกอีก 7 ชนิดภายในปี 2565 ประกอบด้วย พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีส่วนผสมสารประเภทอ็อกโซ่ ไมโครบีดจากพลาสติก ถุงพลาสติกหูหิ้วขนาดความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องโฟมบรรจุอาหาร แก้วน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และหลอดพลาสติก มีการตั้งเป้าหมายสูงสุดนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570
อย่างไรก็ตามงานใหญ่อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นภารกิจของกระทรวงทรัพยากรฯเท่านั้น ต้องระดมกระทรวงต่างๆ รวมถึงทุกภาคส่วนมาร่วมมือ เพราะเป็นพันธสัญญาร่วมของประเทศไทย ที่ทุกคนต้องเข้ามาส่วนในการจัดการขยะ เป้าหมายการเป็นสังคมปลอดขยะ (Zero Waste Society)จึงจะสำเร็จ
หากได้รับความร่วมมือ การปลดไทยออกจากประเทศที่มีขยะทะเลมากที่สุดให้พ้น 1 ใน 10 ของโลกก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม และเป็นผู้นำของอาเซียนในการแก้ปัญหาขยะพลาสติก สร้างภาพลักษณ์การเป็นเมืองรักษ์โลก ช่วยประหยัดงบประมาณ และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วย ซึ่งกระทรวงทรัพยากรฯ ประเมินว่า หากนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570 ได้ตามเป้าหมาย จะช่วยลดปริมาณพลาสติก ที่ต้องนำไปกำจัดได้ประมาณ 780,000 ตันต่อปี ประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอย 3,900 ล้านบาทต่อปี ประหยัดพื้นที่รองรับ และกำจัดขยะได้อีกด้วย ช่วยชะลอการขยายพื้นที่ฝังกลบขยะของประเทศ