กพช. คลอดเกณฑ์โรงไฟฟ้าชุมชน ตั้งเป้า 700 เมกะวัตต์ อัตรารับซื้อ 3-5 บาทต่อหน่วย ใหสิทธิ์ Quick win ก่อน ไฟเขียวใช้เงินกองทุนอนุรักษ์ฯ 50,000 ล้านบาท รองรับแผน 5 ปี
วันนี้ (16 ธ.ค.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ประชุมเห็นชอบกรอบ และแนวนโยบายด้านพลังงานในหลายวาระ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงมติที่ประชุมว่า มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจประกอบด้วย
1. การวางหลักเกณฑ์รับซื้อไฟฟ้า”โรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก”
- ซื้อในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) และราคารับซื้อไฟฟ้า สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) โดยมอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกระเบียบ หรือประกาศรับซื้อไฟฟ้าตามขั้นตอนต่อไป
- แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารการรับซื้อไฟฟ้า จากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
- ให้เป็นสัญญาประเภท Non-Firm ที่สามารถใช้ระบบกักเก็บพลังงานร่วมด้วยได้
- ห้ามใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลช่วยในการผลิตไฟฟ้า ยกเว้นช่วงเริ่มต้นเดินเครื่อง
สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชน ในระยะแรก ปี 2563 จะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้า 700 เมกะวัตต์ และกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) แบ่งออกเป็น 2 โครงการ
1. Quick win เป็นโครงการ ที่ให้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2563 ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ หรือใกล้จะแล้วเสร็จ เข้ามาร่วมโครงการ
2. โครงการทั่วไป เปิดโอกาสให้ผู้มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการเป็นการทั่วไป และอนุญาตให้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในปี 2564 เป็นต้นไป ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์
วิธีการคัดเลือก
คณะกรรมการบริหารการรับซื้อไฟฟ้าฯ จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ และคัดเลือก เรียงตามลำดับ จากโครงการที่เสนอให้ผลประโยชน์คืนสู่ชุมชนสูงสุด ไปสู่ผลประโยชน์ต่ำสุด ทั้งนี้ จะพิจารณารับซื้อจากโครงการ Quick win ก่อนเป็นลำดับแรก แล้วจึงจะพิจารณารับซื้อจากโครงการทั่วไป
รูปแบบการร่วมทุน ประกอบด้วย 2 กลุ่ม
1. กลุ่มภาคเอกชน อาจร่วมกับองค์กรของรัฐ สัดส่วนประมาณ 60 – 90%
2. กลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 200 ครัวเรือน สัดส่วนประมาณ 10 – 40% (เป็นหุ้นบุริมสิทธิไม่น้อยกว่า 10% และเปิดโอกาสให้ซื้อหุ้นเพิ่มได้อีก รวมแล้วไม่เกิน 40%)
การแบ่งรายได้
มาจากการจำหน่ายไฟฟ้า ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ให้กับกองทุนหมู่บ้านที่อยู่ใน “พื้นที่พัฒนา หรือฟื้นฟูท้องถิ่น” ของโรงไฟฟ้านั้น ๆ โดยมีอัตราส่วนแบ่งรายได้ ดังนี้
1. สำหรับโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) และก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน) ไม่ต่ำกว่า 25 สตางค์ต่อหน่วย
2. สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Hybrid ไม่ต่ำกว่า 50 สตางค์ต่อหน่วย
ขอบข่ายพื้นที่ได้รับจัดสรรรายได้
ครอบคลุมหมู่บ้านโดยรอบโรงไฟฟ้า ที่อยู่ในรัศมีจากศูนย์กลางโรงไฟฟ้า ดังนี้
5 กิโลเมตร สำหรับโรงไฟฟ้าขนาดเกิน 5,000 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
3 กิโลเมตร สำหรับโรงไฟฟ้าขนาดเกิน 100 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี แต่ไม่เกิน 5,000 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
1 กิโลเมตร สำหรับโรงไฟฟ้าขนาดไม่เกิน 100 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
เงื่อนไข
ในกรณีที่มีการทับซ้อนกันของเขตพื้นที่ ให้คำนึงถึงประโยชน์ต่อการพัฒนา “พื้นที่พัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่น” เป็นสำคัญ และชุมชนยังคงได้รับผลประโยชน์ตามระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามปกติ
และผู้เสนอโครงการต้องมีแผนการจัดหาเชื้อเพลิง โดยมีสัญญารับซื้อเชื้อเพลิงในราคาประกันกับวิสาหกิจชุมชน ในรูปแบบเกษตรพันธะสัญญา (Contract farming) ในสัญญา ต้องมีการระบุข้อมูลปริมาณการรับซื้อเชื้อเพลิง ระยะเวลาการรับซื้อเชื้อเพลิง คุณสมบัติของเชื้อเพลิงและราคารับซื้อเชื้อเพลิงในสัญญาด้วย
ราคารับซื้อไฟฟ้า
ได้เปิดโอกาสให้โครงการที่ได้ลงทุนก่อสร้างไปแล้วก่อนปี 2560 แต่ไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้ ติดปัญหาสายส่ง ( Grid capacity) แต่ปัจจุบันสามารถรับซื้อไฟฟ้าได้แล้ว จึงกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้า ตามสมมุติฐานทางการเงิน ณ ปีที่ลงทุนก่อสร้าง กพช. ได้เห็นชอบไว้เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ดังนี้
- พลังงานแสงอาทิตย์ 2.90 บาท
- ชีวมวลที่กำลังผลิตติดตั้งน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 เมกะวัตต์ 4.8482 บาท
- ชีวมวลกำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 3 เมกะวัตต์ 4.2636 บาท
- ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) 3.76 บาท
- ก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน 100%) 5.3725 บาท
- ก๊าซชีวภาพพืชพลังงาน ผสมน้ำเสีย/ของเสีย 4.7269 บาท
และ กำหนด Fit พรีเมี่ยม ให้กับพื้นที่พิเศษที่อยู่ในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา เพิ่มอีก 0.50 บาทต่อหน่วยในทุกชนิดเชื้อเพลิง
2. เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ที่ประชุมเห็นชอบกรอบการใช้เงิน ปี 2563-2567 รวม 50,000 ล้านบาท หรือปีละ 10,000 ล้านบาท
เป้าหมาย
-ลดการใช้พลังงานในภาคเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรม อาคารธุรกิจขนาดใหญ่ อาคารธุรกิจขนาดเล็กและบ้านอยู่อาศัย และภาคการขนส่ง ลดลง 30 %
-เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็น 30 % ในปี 2579
-ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20 – 25 % ภายในปี 2573
3. แก้ไขปัญหาการดำเนินการตามนโยบายพลังงาน
1. ความเดือดร้อน ของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล โดยให้ กกพ. ร่วมกับการไฟฟ้า ปรับรูปแบบการรับซื้อไฟฟ้าของ SPP ชีวมวล ไปเป็น FiT โดยมีการคำนวณระยะเวลาการปรับลด-เพิ่มอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ SPP ชีวมวล ให้สอดคล้องกับวันที่เริ่มใช้อัตรา FiT
2.การกำกับอัตราค่าไฟฟ้า ปี 2561–2563 ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฉบับใหม่ พ.ศ. 2564–2568 ให้ กกพ. ใช้หลักเกณฑ์ ตามนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2554–2558 ไปพลางก่อน
3. ก๊าซธรรมชาติเหลว ( LNG ) กฟผ. โดยรับทราบการเตรียมความพร้อมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็น Shipper รายใหม่ นำเข้า LNG ในรูปแบบตลา่ดจร (Spot) ไม่เกิน 200,000 ตัน พร้อมทั้งเห็นชอบโครงสร้างราคา LNG แบบ Spot ของ กฟผ. โดยล๊อตแรกเดือนธันวาคม 2562 และล๊อตสองเดือนเมษายน 2563 เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าวังน้อยชุดที่ 4 โรงไฟฟ้าบางปะกง ชุดที่ 5 และโรงไฟฟ้าพระนครใต้ทดแทนระยะที่ 1 ซึ่งราคา LNG แบบ Spot ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
4. ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
ที่ประชุมให้ กกพ. ศึกษาอัตราค่าไฟฟ้า และการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้า ที่เหมาะสมสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้าระบบขนส่งสาธารณะ โดยคำนึงถึงต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ไฟฟ้าอย่างคุ้มค่ามีประสิทธิภาพ
5. การซื้อไฟจากประเทศเพื่อนบ้าน
เห็นชอบแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม Energy Purchase and Wheeling Agreement (EPWA) สำหรับโครงการซื้อขายไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปยังมาเลเซีย ผ่านระบบส่งไฟฟ้าของไทย ระยะที่ 2 (Lao PDR-Thailand-Malaysia Power Integration Project Phase 2 ) หรือ LTM-PIP ระยะ 2 พร้อมทั้งมอบหมายให้ กฟผ. สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฯ ได้ทันที เพื่อให้สัญญา EPWA มีความต่อเนื่อง และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง พิจารณายกเว้นภาษีศุลกากร และภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับโครงการดังกล่าว