ในช่วงที่ผ่านมา คนไทยออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยนิยมตราสารหนี้มากที่สุด สอดคล้องกับการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลยอดคงค้าง นับถึงสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ชี้ว่าคนไทยออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศสูงถึง 74,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 15% ต่อจีดีพี หรือเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเทียบกับยอดคงค้าง 44,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2558
เมื่อวิเคราะห์ “ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน” พบว่าตราสารหนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมียอดคงค้างเฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 22,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยการฝากเงินในบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) ในต่างประเทศ (19,000 ล้านดอลลาร์) และการลงทุนผ่านหน่วยลงทุนในต่างประเทศ (18,000ล้านดอลลาร์) ตามลำดับ
การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศของคนไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 40% จากสิ้นปี 2558 เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยอยู่ในระดับต่ำ
คนไทยนิยมลงทุนตราสารหนี้มากที่สุด
ขณะเดียวกันคนไทยมีการโยกย้ายเงินลงทุนตามสถานการณ์ความเสี่ยงในตลาดการเงินโลกเช่นกัน โดยในปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนจากการกีดกันทางการค้า รวมทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ปรับลดลงจากปี 2560 และย้ายเงินลงทุนมาพักไว้ใน FCD ในต่างประเทศซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าแทน
ล่าสุดในปี 2562 FCD ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากการที่ธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบางแห่งออกไปลงทุนใน FCD ในต่างประเทศมากขึ้นเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน 3 รูปแบบข้างต้นคิดเป็น 95% ของยอดคงค้างการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศทั้งหมดในปัจจุบัน ขณะที่ตราสารทุนไม่ได้รับความนิยมนัก เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ได้ออกไปลงทุนในตราสารทุนโดยตรง แต่นิยมลงทุนผ่านหน่วยลงทุนต่างประเทศที่มีการบริหารจัดการโดยผู้บริหารกองทุนในต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง เพราะเชื่อว่าผู้บริหารกองทุนในต่างประเทศมีความรู้และความเชี่ยวชาญในการลงทุนที่ดีกว่า และจะลงทุนตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้
ครึ่งหนึ่งของการลงทุนกระจุกอยู่ใน 5 ประเทศ
เมื่อวิเคราะห์ “ประเภทผู้ลงทุน” พบว่า กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) จัดเป็นผู้เล่นสำคัญในการออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ คิดเป็น 73% ของการลงทุนทั้งหมด เพราะคนไทยส่วนใหญ่จะลงทุนผ่าน FIF เป็นหลัก ตามมาด้วยบริษัทประกัน (15%) และ สถาบันที่บริหารเงินออม ( 5%)
เมื่อพิจารณาประเทศที่นักลงทุนไทยนิยมออกไปลงทุนพบว่าเงินลงทุนกว่า 38,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ กระจุกอยู่ใน 5 ประเทศหลัก ได้แก่
- กาตาร์
- ลักเซมเบิร์ก
- ฮ่องกง
- สหรัฐอเมริกา
- จีน
คนไทยนิยมลงทุน FCD ในกาตาร์และฮ่องกง ตราสารหนี้ในจีน และลงทุนในหน่วยลงทุนของสหรัฐ และลักเซมเบิร์กเป็นหลัก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่มีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมอยู่มาก
ธปท. ปรับเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนหลักทรัพย์ในต่างประเทศ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศปรับกฎเกณฑ์เพื่อส่งเสริมการออกไปลงทุนหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ได้แก่
- การเปิดเสรีให้นักลงทุนไทยรายย่อยออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เองภายในวงเงินไม่เกิน 200,000 ดอลลาร์/ปี จากเดิมที่ต้องลงทุนผ่านตัวกลางในประเทศ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือต้องเป็นนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูงตามเกณฑ์ที่กำหนด (Qualified Investor)
- เพิ่มวงเงินรวมสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จัดสรรให้นักลงทุนสถาบันภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แก่ กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนรายย่อยที่ลงทุนผ่านตัวกลางเป็น 150,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 100,000 ล้านดอลลาร์
การผ่อนคลายข้างต้นนอกจากจะช่วยปรับสมดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายให้มีฝั่งไหลออกมากขึ้นและช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทแล้ว ยังช่วยให้คนไทยมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มเติม สามารถบริหารความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการเติบโตของเศรษฐกิจต่างประเทศ ส่งผลให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมที่เน้นลงทุนในประเทศ ดังนั้น การสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศระยะต่อไปอาจทำได้โดยการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน อาทิ การฝากเงินใน FCD การลงทุนผ่าน FIF ไปจนถึงการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้คนไทยมีความเชี่ยวชาญ สามารถประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ดีขึ้น ทั้งความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงของประเทศที่ไปลงทุน ซึ่งจะทำให้การออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพในระยะยาว
ในระยะต่อไป ธปท. จะผ่อนคลายเกณฑ์การออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เพื่อรองรับความต้องการของคนไทยที่มีแนวโน้มออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย