หลังจากชาติอาเซียนร่วมมือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2034 หรืออีก 15 ปีข้างหน้า โดยเห็นชอบให้ 5 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม และ อินโดนีเซีย จัดทำข้อมูลทางเทคนิคประกอบการเสนอตัว และมอบให้ประเทศไทยเป็นหลัก
ซึ่งการจะเป็นเจ้าภาพบอลโลกต้องมีความพร้อมในหลายด้าน ซึ่งเรื่องสำคัญที่สุดคือสนามแข่งขัน
การจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 ซึ่งหากเป็นไปตามข่าวก่อนหน้านี้ฟีฟ่าเพิ่มจำนวนทีมเป็น 48 ทีม ทำให้ต้องมีสนามแข่งขันทั้งหมด 16 สนาม
โดยสนามที่จะใช้ในรอบแรก และ รอบสอง ต้องมีความจุไม่ต่ำกว่า 40,000 ที่นั่ง ขณะที่ รอบก่อนรองชนะเลิศ และ รอบรองชนะเลิศ ต้องมีความจุ 60,000 ที่นั่ง ส่วนรอบชิงชนะเลิศ และ เกมคู่เปิดสนามจะต้องเป็นสนามที่มีความจุไม่ต่ำกว่า 80,000 ที่นั่ง
แค่ปัจจัยแรกซึ่งเป็นปัจจัยหลักเมืองไทยก็แทบไม่พร้อมจัดแล้ว เราพามาดูว่าว่าสนามในเมืองไทยมี่ความจุเท่าไหร่กันบ้าง
สนามที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือ ราชมังคลากีฬาสถาน ที่มีความจุประมาณ 43,000 ที่นั่ง ซึ่งเป็นความจุที่จัดได้แค่รอบแรกและรอบสองเท่านั้น
ราชมังคลากีฬาสถาน เป็นสนามกีฬาที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับที่ 55 ของโลก และเป็นอันดับ 17 ของทวีปเอเชีย และเป็นสนามหลักภายในสนามกีฬาหัวหมาก ของการกีฬาแห่งประเทศไทย สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธันวาคม 2530 และ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก พ.ศ. 2531 แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2541 เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าภาพ
ราชมังคลากีฬาสถาน เป็นสนามเหย้าของทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ในปัจจุบัน และใช้จัดแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญต่างๆ นอกจากนี้ ยังใช้สำหรับจัดการแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่มีศักยภาพรองรับผู้เข้าชมได้ประมาณ 80,000 คน ภายในมีสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน ลู่วิ่ง ลานกรีฑา และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ
รองลงมาคือ สนามกีฬาติณสูลานนท์ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลสงขลา และ สโมสรฟุตบอลวัวชน ยูไนเต็ด
สนามกีฬาติณสูลานนท์ เคยจัดทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ปี 2541 โดยใช้จัดในรอบแรก และ นัดชิงที่ 3 หรือรอบชิงเหรียญทองแดง โดยเป็นเกมทีมชาติไทย แพ้ ทีมชาติจีน 0-3 มีจำนวนผู้เข้าชมประมาณ 30,000 กว่าคน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2557 การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้โอนการดูแลสนามมาให้กับทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และใช้งบประมาณร่วม 200 ล้านบาทในการปรับปรุงสนามฟุตบอลและสนามอื่นๆ โดยเพิ่มความจุสนามจาก 35,000 ที่นั่งเป็น 45,000 ที่นั่งและเปลี่ยนเป็นเก้าอี้นั่งทั้งหมด และปรับปรุงอัฒจรรย์ฝั่งประธานให้เป็นอัฒจรรย์ 2 ชั้นขนาด 10,000 ที่นั่ง เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ สงขลาเกมส์ ในปี พ.ศ. 2560
สนามใหญ่อันดับ 3 ของไทยคือ ธันเดอร์ คาสเซิล สเตเดี้ยมหรือ “ช้างอารีนา” เป็นสนามเหย้าของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เดิมมีความจุ 24,000 ที่นั่ง ก่อนจะมาปรับปรุงเพิ่มเป็น 32,600 ที่นั่งในปี พ.ศ. 2557
สนามแห่งนี้โครงสร้างประกอบด้วยเหล็กและไฟเบอร์ ซึ่งสร้างด้วยงบประมาณกว่า 500 ล้านบาท โดยเป็นเงินสนับสนุนภายใต้สัญญาการกำหนดชื่อจากไอ-โมบายและบางส่วนของนายเนวิน ชิดชอบ จัดเป็นสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐานแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีลู่วิ่งคั่นสนามและผ่านมาตรฐานระดับโลกจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ, มาตรฐานสนามกีฬาระดับเอจากสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย และ สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน และยังได้บันทึกลงกินเนสบุ๊คว่าเป็นสนามฟุตบอลในระดับฟีฟ่าแห่งเดียวในโลกที่ใช้เวลาก่อสร้างน้อยที่สุดในโลกคือ 256 วัน
ช้างอารีนาเคยจัดเกมทีมชาติไทยลงเตะมาแล้ว 3 นัดเมื่อเดือนกรกฏาคม 2554 ซึ้งเป็นเกมอุ่นเครื่องกับเมียนมา 2 นัดและเกมฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือกที่ชนะปาเลสไตน์ 1-0 เมื่อ 24 ก.ค.54
ส่วนที่เหลือล้วนเป็นสนามที่มีความจุไม่ถึง 30,000 ที่นั่ง โดยสนามอันดับ 4 คือ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวา 2550 หรือชื่อเดิม สนามกีฬาเมืองหลักเฉลิมฉลอง 333 ปี จังหวัดนครราชสีมา เป็นสนามกีฬาหลักในการแข่งขันซีเกมส์ 2007 ที่จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 6 – 15 ธันวาคม 2550 โดยชื่ออย่างเป็นทางการได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสที่ซีเกมส์ครั้งนี้จัดคาบเกี่ยวกับพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ปัจจุบันสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาเป็นสนามเหย้าของสโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี มีความจุ 25,000 คน และสามารถขยายเพิ่มเป็น 45,000 คนได้ในอนาคต
– สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี เป็นสนามกีฬาที่มีขนาดความจุผู้เข้าชมได้จำนวนประมาณ 25,000 ที่นั่ง[1] ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ก่อสร้างขึ้นใน “โครงการสร้างสนามกีฬาเมืองหลักเฉลิมฉลอง 700 ปี นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 ณ โรงแรมเชียงใหม่พลาซ่า จังหวัดเชียงใหม่
– สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์) สนามเหย้าแอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด มีความจุประมาณ 25,000 ที่นั่ง อยู่ในการดูแลรับผิดชอบของ กองการกีฬา กรมสวัสดิการทหารอากาศ
– สนามกีฬาธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นสนามกีฬาที่สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 มีความจุ 20,000 ที่นั่ง อยู่ในการดูแลรับผิดชอบของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของแบงค็อก ยูไนเต็ด
– สนามกีฬาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “สนามจุ๊บ” เป็นสนามกีฬาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแห่งแรกของประเทศไทย ปัจจุบันสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลจามจุรี ยูไนเต็ด มีความจุ 20,000 ที่นั่ง
– สนามศุภชลาศัย เป็นสนามกีฬาหลักของกรีฑาสถานแห่งชาติ มีลู่วิ่งสังเคราะห์ สำหรับจัดการแข่งขันกรีฑา ใช้ในการแข่งขันกีฬานัดสำคัญ มีหลังคาหนึ่งด้าน พร้อมทั้งอัฒจันทร์โดยรอบ ปัจจุบันมีความจุผู้ชมรวม 19,793 ที่นั่ง อยู่ในความดูแลของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
– สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสนามเหย้าของสุพรรณบุรี เอฟซี เคยใช้ในการแข่งขันกีฬาโรงเรียนอาเซียน 2009 ปัจจุบันมีความจุทั้งหมด 15,279 ที่นั่ง
จะเห็นได้ว่าสนามในเมืองไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นสามารถเป็นศูนย์กลางการจัดฟุตบอลโลกได้ โดยทำได้เพียงจัดในรอบแรกเท่านั้น
แต่หากได้เป็นเจ้าภาพจริงต้องทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลในการสร้างสนาม 80,000 ที่นั่งเพื่อรองรับพิธีเปิดและเกมนัดชองชนะเลิศ
จากนั้นจะมีคำถามตามมา สร้างเสร็จแล้ว จะใช้ทำอะไรต่อ เมื่อราชมังคลากีฬาสถานที่จุ 4 หมื่นกว่าคนดูยังโหลงเหลงอยู่เลย
ตัวอย่างแอฟริกาใต้ กับ บราซิลมีให้เห็นทุ่มเงินมหาศาลเพื่อสร้างสนามใหม่
ทุกวันนี้เป็นเพียง “อนุสรณ์สถานฟุตบอลโลก”