จีซี ร่วมโครงการ “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา” ธรรมศาสตร์ ปลุกกระแสสังคมเลิกทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง “ดร.ปริญญา” ประเมินประชาชนตื่นตัว เชื่อ 5 ปี ไม่มีใครตั้งใจทิ้งขยะลงแม่น้ำ
วันนี้ (11 ต.ค.) เป็นวันสิ้นสุดของ “โครงการพายเรือเพื่อเจ้าพระยา” โครงการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 เพื่อปลุกกระแสสังคม เลิกทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง โดยมีการเก็บขยะตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ สิ้นสุด ณ วัดจากแดง อำเภอบางกะเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ รวมเวลา 10 วันตั้งแต่ 1-10 ต.ค. ระยะทาง 230 กม.
โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากจากจิตอาสาในพื้นที่ต่างๆสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา หน่วยงานรัฐ และองค์กรเอกชนมาช่วยกันพายเรือเก็บขยะ และบูรณาการความร่วมมือ จัดการขยะอย่างครบวงจร นำขยะที่เก็บได้ มาคัดแยก และรีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆนำกลับมาใช้ใหม่
บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือจีซี เป็นบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย ดร. ชญาน์ จันทวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความยั่งยืน และภาพลักษณ์องค์กร จีซี บอกว่า บริษัทเห็นความสำคัญของการปฏิวัติการใช้ทรัพยากรตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)เพื่อลดใช้ทรัพยากร และใช้อย่างมีคุณค่า
โดยจีซีได้กำหนดแนวทาง “GC Circular Living” มาใช้ดำเนินงานทั้งภายใน และภายนอกองค์กร รวมทั้งร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการจัดการขยะพลาสติก ผ่านโครงการต่างๆของบริษัท อาทิ โครงการธนาคาร ทิ้ง-ไซเคิล (ThinkCycle Bank) เพื่อให้ความรู้ในการคัดแยก และจัดการขยะกับนักเรียนนักศึกษา ,โครงการ Upcycling the Oceans,Thailand เพื่อเก็บขยะพลาสติกจากทะเล มาผ่านกระบวนการผลิตเป็นสินค้าแฟชั่น และโครงการ PPP Plastic Rayong อีกโครงการที่ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ และองค์กรเอกชนในการจัดขยะ โครงการต่างๆเหล่านี้ จีซีจัดทำเพื่อให้พลาสติกถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้ยาวนานขึ้น
สำหรับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในโครงการ “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา” เป็นอีกโอกาสที่เข้ามามีส่วนร่วมเป็นปีที่ 2 แล้ว โดยบริษัทได้ช่วยพายเก็บขยะ และช่วยคัดแยกขยะที่วัดจากแดง มีพนักงานบริษัทเข้ามาเป็นจิตอาสากว่า 100 คนตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“เราร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายองค์กร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมถึงผู้บริโภค เพื่อช่วยกันลดใช้ทรัพยากร และนำขยะพลาสติกมารีไซเคิล ทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ นำกลับมาใช้ใหม่ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน “
นอกจากจีซีจะได้มีส่วนร่วมกับโครงการพายเรือเพื่อเจ้าพระยาแล้ว ยังสนับสนุนกิจกรรม “ทอดผ้าป่าขยะหัวเรือ” ที่วัดจากแดง เพื่อมอบขยะพลาสติกให้วัดนำไปรีไซเคิลใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น การทำผ้าจีวรรีไซเคิลจากขวดพลาสติก รวมถึงสนับสนุนเครื่องอัดขวดพลาสติก เพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นเส้นใย ใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่าง และสนับสนุนการพัฒนาศูนย์เรียนรู้การคัดแยกขยะของวัดด้วย
ด้านผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ริเริ่มโครงการพายเรือเพื่อเจ้าพระยา ระบุว่า ตลอด 10 วันที่ผ่านมาเก็บขยะได้ 3,215 กก. จำนวนนี้เป็นขยะอันตราย76 กก.เป็นขยะอินทรีย์ 195.3 กก.ขยะรีไซเคิล 342.6 กก. และขยะทั่วไป 1,439.9 กก.
ส่วนใหญ่เราพบขวดเครื่องดื่มแทบทุกยี่ห้อ และกล่องโฟม นอกจากนี้ยังพบที่นอน และขยะที่มาจากความเชื่อ เช่น กระถางธูป และธงเจขนาดใหญ่ หัวพญานาคขนาดใหญ่ เป็นต้น ดังนั้นธรรมศาสตร์จึงเข้าไปร่วมมือกับทุกๆองค์กร ทั้งผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม อาคารต่างๆที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ที่เกียกกาย ร่วมถึงจะเข้าไปจับมือกับศาลเจ้าต่างๆด้วย
“เก็บขยะในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่เก็บได้รวม 2,500 กก. ที่เก็บได้มากขึ้น ไม่ได้หมายความว่ามีขยะมากขึ้น แต่เพราะเรามีจิตอาสามาร่วมกันเก็บขยะมากขึ้นเท่าตัวจากปีก่อน ถือว่าสังคมตื่นตัวในเรื่องนี้แล้ว ”
ผศ.ดร.ปริญญา ย้ำว่า จากการตื่นตัวของทุกภาคส่วน พบว่ามีขยะที่ออกปากแม่น้ำน้อยลง 30% เมื่อเทียบปี 2561 คาดหมายว่าภายใน 5 ปี จะไม่มีขยะที่ตั้งใจทิ้งในแม่น้ำลำคลอง
“การรณรงค์ในเรื่องขยะใช้เงิน หรืออำนาจ อาจไม่สำเร็จ ต้องใช้คน หมายถึงทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมมือกัน การเปลี่ยนแปลงจึงจะเกิดขึ้น”
และการจัดทอดผ้าป่าขยะหัวเรือ ที่วัดจากแดง นำขยะที่เก็บได้ของโครงการพายเรือเพื่อเจ้าพระยา มาให้กับวัดนำไปรีไซเคิลเป็นจีวร และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่ได้เป็นเพียงการนำขยะมาถวายวัด แต่เป็นการช่วยชีวิตสัตว์น้ำที่อาศัยในแม่น้ำลำคลอง และทะล ซึ่งก็พบแล้วว่าปลามีไมโครพลาสติก ดังนั้นการไม่มีขยะในแม่น้ำลำคลองเท่ากับช่วยชีวิตมนุษย์ไปด้วย
“การมีวัดจากแดงเข้ามาเป็นโมเดลวัดจัดการขยะ เป็น Best Practice ที่จะขยายไปในวัดอื่นๆ หากวัดทั่วประเทศทำได้ปัญหาขยะจะหมดไปแน่นอน “
นอกจากนี้การเก็บขยะปีนี้ ยังติดตามคุณภาพน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาไปพร้อมกันด้วย โดยร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ วัดความเสื่อมโทรมของแม่น้ำเจ้าพระยาตามจุดต่างๆพบว่า คุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมที่สุดอยู่ที่ กรุงเทพ วัด ณ จุดไอคอนสยาม เขตคลองสาน ในวันที่ 10 ต.ค. มีค่า 1.7 มิลลิกรัมต่อลิตร
อันดับ 2 เป็นจังหวัดสมุทรปราการ วัด ณ วัดจากแดง วันที่ 11 ตุลาคม มีค่า 2.5 มิลลิกรัมต่อลิตร อันดับ 3 นนทบุรี ณ ท่าน้ำนนท์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม วัดได้ 3.4 มิลลิกรัมต่อลิตร สอดคล้องกับที่เราพบขยะอันตรายจำนวนมากถึง 76 กก. อาทิ กระป๋องยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าจำนวนมาก ซึ่งย่อมจะมีขยะอันตรายที่ไหลสู่แม่น้ำ ที่เรามองไม่เห็นจำนวนมาก
นายวิชาญ สุขสว่าง ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม บอกว่านอกจากขยะอื่นๆที่เราพบแล้ว ที่น่าตกใจคือ ขยะอันตรายที่เราพบมีการทิ้งลงแม่น้ำ อาทิ กระป๋องยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้าจำนวนมาก ซึ่งย่อมจะมีขยะอันตรายไหลสู่แม่น้ำไปแล้ว ซึ่งเรามองไม่เห็น
“เราต้องปรับทัศนคติใหม่ จากเดิมใครถูกให้ไปเก็บขยะ คือการลงโทษ ต้องทำให้การทำเรื่องการจัดการขยะเป็นเรื่องที่มีคุณค่า ที่ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะคุณภาพสิ่งแวดล้อมดี ก็หมายถึงคูณภาพชีวิตของเราดีไปด้วย “
พระมหาประนอม ธัมมาลังกาโร รองเจ้าอาวาส วัดจากแดง กล่าวว่า ทุกวันนี้วัดยังคงออกไปเก็บขยะในแม่น้ำที่ลอยมาติดวัดได้ขยะอินทรีย์ วันละ 200 กก. และขยะพลาสติก 800 กก. รวมถึงที่มีผู้ทอดผ้าป่าขยะพลาสติก หรือนำขยะพลาสติกมาบริจาคที่วัดโดยตรง ทั้งหมดถูกนำมารีไซเคิล ผลิตเป็นสิ่งต่างๆ รวมถึงจีวรจากขวดพลาสติก โดยขวดพลาสติกจำนวน 15 ผลิตได้จีวร 1 ผืน ซึ่งตอนนี้ผลิตไม่ทันความต้องการ
ส่วนขยะอินทรีย์เราก็นำมาผลิตเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ และตอนนี้วัดก็เป็นศูนย์เรียนรู้จัดการขยะมีผู้เข้ามาศึกษาเรียนรู้คัดแยก และรีไซเคิลขยะเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ วันละ 200 คน
“ขยะที่ถูกทิ้งไม่มี มีแต่วัสดุที่นำไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด ยกเวันขยะอันตราย และขยะสมอง ที่ต้องขจัดออกไป “