คปพ.ยื่น 6 ข้อเสนอ “สนธิรัตน์” เห็นพ้องขับเคลื่อนพลังงานชุมชน ด้านรมว.พลังงาน พร้อมเชิญเป็นคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรี
วันนี้ (21 ส.ค.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้หารือกับแกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน (คปพ.) นำโดย นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต สว. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการด้านพลังงาน และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
โดยกลุ่มคปพ.ได้ยื่น 6 ข้อเสนอ ประกอบด้วย 1.ขอให้มีปรับปรุงสูตรโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซหุงต้มใหม่ เพื่อลดราคาพลังงานให้เป็นธรรม
โดยประเด็นก๊าซหุงต้ม ได้เสนอปัญหา 3 ข้อ คือ 1. ภาคปิโตรเคมีใช้มากเกินไป 2. ราคาอ้างอิงราคานำเข้า ทั้งที่ผลิตได้เองมากในประเทศ 3. ปตท. ผูกขาด
2.ข้อห่วงใยเรื่องการเจรจาพัฒนาปิโตรเลียมพื้นที่ ซึ่งอ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งที่ความเป็นจริงเป็นพื้นที่ประเทศไทย
3.การประมูลแหล่งเอราวัณและบงกช อาจะส่อว่าผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน เพราะระบบแบ่งปันผลผลิต ( PSC ) ที่นำมาใช้ในการประมูลเป็นระบบ PSC จำแลง ทำให้รัฐเสียประโยชน์ ได้ค่าภาคหลวงน้อยลง
4. การนำหุ้นของบริษัท ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด หรือพีทีทีโออาร์ ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย
5.การปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญเรื่องการผลิตไฟฟ้าของรัฐจะต้องไม่ต่ำกว่า 51% ตามคำวินิจฉ้ยของผู้ตรวจการแผ่นดิน
6.ขอให้เร่งรัดการตรวจสอบทุจริตโรลส์รอยส์
นายธีระชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่นายสนธิรัตน์ รัฐมนตรีพลังงานต้องการทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับประชาชน โดยเฉพาะรายย่อย ให้มีโอกาสได้รับประโยชน์ มีแนวคิดกระจายพลังงานให้ลงไปถึงระดับล่าง และยังรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งเราจะติดตามการทำงานต่อไป
ด้านนางสาวรสนา กล่าวว่า รัฐมนตรีให้เราพบเป็นระยะๆได้ อย่างไรก็ตามในประเด็นที่เราต้องการให้กระทรวงพลังงานปรับ ก็คือการส่งเสริมพลังงานชุมชน จะต้องเปรียบเทียบกับการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ที่รัฐรับประกันกำไร และซื้อไฟในราคาสูงจนไม่มีความเสี่ยงใดๆ ยกตัวอย่างผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ ก็รับซื้อตั้งแต่ราคา 11- 4 บาทต่อหน่วย
ขณะที่โครงการโซลาร์ภาคประชาชน กำหนดราคารับซื้อจากประชาชนที่ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปเพียง 1.68 บาทต่อหน่วย ถือว่าไม่เป็นธรรม ดังนั้นในส่วนของกลุ่มคปพ.จะเดินหน้าศึกษาเรื่องความเหมาะสมในการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคประชาชนและชุมชน และนำเสนอต่อนายสนธิรัตน์ต่อไป โดยเบื้องต้นจะต้องทำเป็น Net Metering หมายถึงหากชุมชนหรือบ้านเรือนขายเข้าระบบสามารถหักลบกับที่ซื้อจากระบบได้เลยและต้องเป็นราคาเดียวกัน ไม่ใช่ซื้อแพงขายถูก
ในส่วนของพื้นที่่ทับซ้อนไทยกัมพูชา นายปานเทพ ขอให้ระวังการเข้าไปเจรจาหารือหากไปรับข้อตกลงพัฒนาร่วมเท่ากับยอมรับว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ทั้งที่จริงๆเป็นพื้นที่ของไทย
ทางด้านพีทีทีโออาร์ นายธีระชัย ระบุว่า การขายหุ้นของบริษัทฯนี้ในตลาดสุ่มเสี่ยง จึงควรต้องให้รัฐถือหุ้นเกิน 50% ต่อไป และเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการจากภาคประชาชน ที่เรียกว่า Steering Committee ทำงานคู่กับคณะกรรมการบริหารบริษัทฯเพื่อคอยติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทนี้
นอกจากนี้ขอให้ระวังการที่ข้าราชการระดับสูงกระทรวงพลังงานไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ และบริษัทพลังงาน เพราะเป็นเรื่องการท้บซ้อนของผลประโยชน์
ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่าในฐานะผู้กำหนดนโยบายพลังงาน ยินดีและพร้อมเปิดรับฟังทุกความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายพลังงานจากทุกๆ ฝ่ายอยู่แล้ว เพราะความเห็นต่างไม่จำเป็นต้องเป็นความขัดแย้งเสมอไป
และหากเป็นข้อคิดเห็นที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยทุกคน และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ก็พร้อมที่จะนำทุกข้อคิดเห็นมาประกอบการพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสม และจะเปิดกว้างให้คปพ.ได้มาร่วมเป็นคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานที่จะมีกลุ่มต่างๆมาร่วมด้วย
สำหรับข้อเสนอเรื่องโครงสร้างราคาเอทานอล และไบโอดีเซล (บี100) นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานกำลังปรับโครงสร้างน้ำมันดีเซลใหม่ โดยสนับสนุน ดีเซล บี10 และ บี 20 แก้ปัญหาการลักลอบปาล์มน้ำมัน กำหนดผู้ผลิตลงทะเบียนในระบบ ซึ่งแม้ว่าสุดท้ายแล้วราคาปลายทางอาจจะแพงขึ้นได้ แต่ผลประโยชน์ต้องตกกับประชาชนด้วย โดยกระทรวงฯจะกำหนดสิทธิประโยชน์โดยดูเรื่องผลประโยชน์ต่อเกษตรกร และรับประกันว่า จะสามารถบริหารสมดุลทั้งด้านการผลิตและความต้องการใช้
โดยมอบ ปตท. คิดกลไก เพื่อได้ได้ราคาที่เกษตรกรอยู่ได้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์เองก็ต้องประกันปริมาณปาล์มไม่ให้ขาดแคลนด้วย