Finance

เปิดโผ 21 หุ้นใหญ่ ‘พีอี’ ต่ำกว่าตลาด

ตลาดหุ้นไทยในช่วงกลางปี 2561 ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างจริงจัง แม้ว่า มีปัจจัยการเมืองในประเด็นกำหนดการเลือกตั้งมีโอกาสชัดเจนมากขึ้น แต่จะเห็นว่าการตอบรับของดัชนีหุ้นก็ยังอยู่กับที่  จึงทำให้ผู้ลงทุนยังไม่กล้าที่จะเข้าลงทุนอย่างจริงจัง  ดังนั้น หุ้นที่น่าจะปลอดภัย ก็น่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี  และราคาหุ้นไม่สูงเกินกว่ามูลค่าพื้นฐาน เพื่อที่จะถือลงทุนได้ในระยะยาว หรือเพื่อรอจังหวะทำกำไรหากนักลงทุนต่างชาติหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง

13

ทั้งนี้จากการสำรวจหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงสุด 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย โดยนำมาเปรียบเทียบกับค่าพีอีเรโชเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 17.68 เท่า พบว่า มีหุ้นใหญ่ที่มีค่าพีอีเรโชต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น ตอนนี้ถึง 21 บริษัท ประกอบด้วย

หุ้น PTT  มีมาร์เก็ตแคปมูลค่า 1,485,275 ล้านล้านบาท มีค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 11.53 เท่า รองลงมา หุ้น SCC มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 549,600 ล้านบาท พีอีเรโชอยู่ที่ 10.98 เท่า หุ้น KBANK มาร์เก็ตแคปอยู่ที่  488,225 ล้านบาท ค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 13.98 เท่า หุ้น SCB มาร์เก็ตแคป 473,662 ล้านบาท ค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 11.13เท่า หุ้น PTTGC มาร์เก็ตแคป 397,905 ล้านบาท ค่าพีอีเรโช 10.33เท่า หุ้น BBL มาร์เก็ตแคป 372,224 ล้านบาท พีอีเรโช 11.04 บาท หุ้น IVL มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 328,724 ล้านบาท พีอีเรโชอยู่ที่ 14.76เท่า หุ้น BAY มาร์เก็ตแคป 297,908 ล้านบาท พีอีเรโช 12.53เท่า หุ้น KTB มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 251,569 ล้านบาท พีอีเรโช 12.16เท่า

หุ้น CPF มาร์เก็ตแคปอยู่ที่  215,281ล้านบาท พีอีเรโช 15เท่า หุ้น INTUCH มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 177,154 ล้านบาท พีอีเรโชอยู่ที่ 15.83 เท่า หุ้น TOP มาร์เก็ตแคป 176,462 ล้านบาท พีอีเรโช 7.54 เท่า หุ้น LH มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 136,226 ล้านบาท พีอีเรโชอยู่ที่ 12.21เท่า

หุ้น IRPC มาร์เก็ตแคปอยู่ที่    129,758 ล้านบาทพีอีเรโช 11.05 เท่า หุ้น EGCO มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 126,878 ล้านบาท พีอีเรโช 4.37เท่า หุ้น GLOW มาร์เก็ตแคปอยู่ที่  122,514 ล้านบาท พีอีเรโช 12.51เท่า หุ้น TMB มาร์เก็ตแคป 110,506 ล้านบาท พีอีเรโชอยู่ที่12.46เท่า หุ้น  TU มาร์เก็ตแคปอยู่ที่  81,598 ล้านบาท พีอีเรโช 15.05 เท่า หุ้น DELTA มาร์เก็ตแคปอ80,767 ล้านบาท พีอีเรโช 17.4 เท่า หุ้น RATCH มาร์เก็ตแคป 75,400 ล้านบาท พีอีเรโช13.55เท่า  และหุ้น TISCO มาร์เก็ตแคป 69,055 ล้านบาท พีอีเรโช 10.85เท่า

14

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า หุ้น EGCO ถือเป็นหุ้นที่มีค่าพีอีเรโชที่ต่ำสุด อยู่ที่ 4.37 เท่า และหุ้น TOP ค่าพีอีเรโชอยู่ที่ 7.54 เท่า ดังนั้น จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจหากต้องการลงทุนระยะยาว หรือลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนในทิศทางขาลงแบบนี้ แต่หากจะซื้อลงทุนก็ควรหันไปพิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบการตัดสินใจด้วย

จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส ให้ความเห็นว่าค่าพีอีเรโชของหุ้นแต่ละตัวจะเป็นแค่การบ่งบอกความถูกความแพงของราคาหุ้นตัวนั้น แต่ถ้าหากจะลงทุนควรพิจารณาที่ปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มของอุตสาหกรรม รวมถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้นๆประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย ซึ่งที่ผ่ามาจะเห็นว่า มีหุ้นบางตัวที่ค่าพีอีเรโชก็ยังต่ำแม้ว่าอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจแต่ด้วยศักยภาพของบริษัทอาจจะไม่มีความสามารถในการเพิ่มกำไรในอนาคตด้วย

การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีค่าพีอีเรโชต่ำก็ไม่ได้หมายความว่าจะน่าสนใจเข้าลงทุน ผู้ลงทุนที่ต้องการจะลงทุนควรพิจารณาที่ความสามารถในการทำกำไรในอนาคตประกอบกันด้วย อย่างกรณีของหุ้นEGCOค่าพีอีเรโชต่ำมากเพราะความสามารถในการสร้างกำไรในอนาคต ยังไม่ชัดเจน เพราะไม่มีกำลังการผลิตใหม่ๆเข้ามาในเร็ววันนี้”

จิตราแนะนำว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในการลงทุนปีนี้น่าจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก และพลังงานต้นน้ำ เนื่องจากราคาน้ำมันน่าจะยืนได้ในระดับค่าเฉลี่ยที่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ขณะที่ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ประเมินว่า หุ้น EGCO เป็นหุ้นที่มีกำไรสุทธิเกินคาด และมีเงินสดเต็มมือ ซึ่งแนวโน้มประมาณการกำไรหลักไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท ลดลง 18% จากงวดเดียวันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 23% จากงวดไตรมาส1/2561 และสาเหตุที่ลดลง จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากกำไรจากบริษัทลูกที่ลดลงหลังจากการขายสินทรัพย์ การเติบโตไตรมาสแรกมาจากการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล, อัตราค่าไฟฟาที่สูงขึ้น, และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากโรงไฟฟา Quezon ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/2561

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มสมมติฐานค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และปรับประมาณการกำไรหลักปี 2561-63 ลง 9% ต่อปีมาอยู่ที่ 9.8 พันล้านบาท, 9.1 พันล้านบาท และ 1.0 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ประมาณการกำไรสุทธิหลังหักภาษี ณ ปี 2561 ขึ้นมา 5% มาอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกำไรพิเศษที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 1/2561 และปรับราคาเป้าหมายขึ้น 8% มาอยู่ที่ 280 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ หลังจากที่ขายบริษัทลูกออกไป EGCO มีเงินสดสูงเกือบ 4.3 หมื่นล้านบาท ในงบดุล (คิดเป็น 81 บาทต่อหุ้น) ที่จะช่วยหนุนบริษัทตในการเข้าซื้อกิจการหรือจ่ายคืนหนี้สินซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้น หรือบริษัทฯอาจเลือกที่จะจ่ายเงินปันผลพิเศษ (ปัจจุบันเราคาดปันผลปกติจะอยู่ที่ 7 บาทต่อหุ้น ซึ่งอัตราเงินปันผลคิดเป็น 3%)

นอกจากนี้ EGCO ซื้อขายที่พีอีเรโชปี 2561 ที่เพียง 11 เท่า ต่ำสุดในกลุ่มโรงไฟฟาที่เราวิเคราะห์ จึงมองว่าราคาหุ้นมีความเสี่ยงขาลงที่ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2561 ใหม่ที่ 280 บาท

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงแบบนี้ ผู้ลงทุนควรทยอยลงทุน และศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจเลือกหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเข้าพอร์ตลงทุน

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight