สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ รายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประเทศไทย ไตรมาสแรกปี 2561 เติบโต 4.8% เป็นการเติบโตที่ระดับ 4% ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 นับจากไตรมาส 3 ปี 2560 ที่ 4.3% และไตรมาส 4 ปี 2560 ที่ 4.0%
รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีที่บอกว่า “เศรษฐกิจ”ดีหรือไม่ อยู่ที่ตัวเลข “จีดีพี” ซึ่งสภาพัฒน์รายงานตัวเลขไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ที่ 4.8% โดยเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจเกือบ “ทุกตัว” บ่งบอกในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย
- การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเร่งขึ้น ไตรมาส 1 ปี 2561 อยู่ที่ 3.6% ตามการปรับตัวที่ดีขึ้น และกระจายตัวมากขึ้นของรายได้ในระบบเศรษฐกิจ สอดคล้องกับสินเชื่อภาคครัวเรือน และการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภค เป็นการเติบโตต่อเนื่อง จาก 2 ปีก่อน “ติดลบ”
- การลงทุนภาครัฐ ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 4% หลังจากติดลบ 3 ไตรมาส ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในปีนี้
- การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวตามการปรับตัวดีขึ้น ทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกขน ไตรมาสแรก ปีนี้ เติบโต 3.1% แสดงให้เห็นถึงการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ
- การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่เติบโต 0.2% ขยับเป็น 1.9% ในไตรมาสแรก
- การส่งออกรวมขยายตัวในเกณฑ์สูงขึ้นต่อเนื่อง ตามกการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและบริการ ไตรมาสแรกมูลค่าส่งออกสินค้าเติบโต 9.9% และปริมาณการส่งออกบริการ เติบโต 9.4% เป็นการเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ ครึ่งปีหลัง 2561
จีดีพี ไตรมาสแรกที่เติบโต 4.8% เป็นตัวเลขที่เติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี หากเศรษฐกิจไทยยังรักษาการเติบโตที่ตัวเลขสูงกว่า 4 % ได้ต่อเนื่อง ประเทศไทยจะหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเติบโตต่ำมา 5 ปี
“ตัวเลขจีดีพี ที่เติบโตขึ้น ถือเป็นข้อเท็จจริงจากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจด้านต่างๆ แต่การสำรวจฝั่งผู้ประกอบการของหอการค้าไทยในต่างจังหวัด ยังไม่รู้สึก ถึงการฟื้นตัวและดีขึ้น ของเศรษฐกิจไทย เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย”
ราคาสินค้าเกษตร-รายได้ “ติดลบ”
หากดูจีดีพี ไตรมาสแรกปีนี้ ด้านการผลิตภาคเกษตร ถือว่ากลับมาขยายตัวในเกณฑ์สูง หลังจากได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในไตรมาสก่อนหน้า ที่ติดลบ 1.3% ขณะที่ไตรมาสแรกเติบโต 6.5% แต่ดัชนีราคาสินค้าเกษตร ยังติดลบ 12.3% และรายได้เกษตรกร ติดลบ 4.8%
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัว 3.7% โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย 72.4% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส4 ปีก่อนที่ 64.7%
โรงแรมและภัตตาคาร ไตรมาสแรกขยายตัวในเกณฑ์สูง สอดคล้องกับจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยการผลิตเติบโต 12.8% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เติบโต 15.4% และรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เติบโต 19%
การขายส่งและขายปลีกไตรมาสแรกขยายตัวในเกณฑ์สูงที่ 7% สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
การก่อสร้าง ไตรมาสแรกปีนี้ เติบโต 1.2% เป็นการกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส ปรับตัวดีขึ้นทั้งการก่อสร้างภาครัฐ และเอกชน
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยขยายตัวจากเศรษฐกิจโลก พบว่าคู่ค้าของไทย จีดีพีไตรมาสแรกสูงกว่าประมาณการ และคู่ค้าในเอเชียหลายประเทศ จีดีพีขยับขึ้นสูง จากการส่งออก พบว่าเศรษฐกิจโลกและหลายประเทศกำลังฟื้นตัว จากการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น
“จีดีพี”รายภาคโตกระจุกตัว
สำหรับตัวเลขจีดีพี ที่สภาพัฒน์รายงาน และดัชนีการเติบโตของตัวเลขต่างๆ ผู้ประกอบการในแต่ละพื้นที่ อาจมีความเห็นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ สัดส่วน จีดีพี ของแต่ละภาค ซึ่งมีขนาดแตกต่างกัน
ดังนั้นเมื่อภาพรวมจีดีพีเติบโต จะส่งผลไปยังภูมิภาคที่มีจีดีพีขนาดใหญ่เป็นลำดับแรก เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก ที่มีสัดส่วนเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของประเทศ
“เดิมหากบอกว่าเศรษฐกิจดี จะดีเหมือนกันหมดแบบกระจายตัว แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจของรายภาคแตกต่างกัน เป็นการเติบโตแบบกระจุก และไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาคสินค้าและบริการ”
ดังนั้นหากภาคใด้ มีอุตสาหกรรมเติบโต เช่น ภาคบริการ(ท่องเที่ยว) การค้า(ส่งออก) อยู่ในสัดส่วนสูง ก็จะรู้สึกถึงการฟื้นตัว แต่หากภาคใดที่มูลค่าสินค้าเกษตรมีสัดส่วนสูง ก็จะยังไม่รู้สึกถึงการฟื้นตัว เพราะสินค้าเกษตรยังติดลบ
นอกจากนี้บางส่วนยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อและการจับจ่ายของภาคประชาชน ซึ่งมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคต่างกัน
“จีดีพี”ข้อเท็จจริงกับความรู้สึก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าการพิจารณาภาวะเศรษฐกิจ จะดูจาก “ข้อเท็จจริง” (fact) และ“ความรู้สึก” (feeling) ตัวเลขจากกระทรวงเศรษฐกิจต่างๆ ที่ได้จากภาคเอกชน บางข้อมูลเป็นการกรอกตัวเลข บางข้อมูลเก็บจากตัวเลขจริงจากการจ่ายภาษี ยอดขายรถยนต์ ยอดเข้าพักในโรงแรม ดังนั้นเมื่อตัวเลขต้นทางถูกต้อง ข้อมูลปลายทางก็จะสะท้อนความจริงที่แม่นยำ
ตัวเลขจีดีพีจากสภาพัฒน์ไตรมาสแรกโต 4.8% เป็นตัวเลขที่มาจากข้อเท็จจริง แต่ความรู้สึก คนอาจยังไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้น หรือดีขึ้น มาจากหลายปัจจัย
“หากเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจไทยเชิงการแพทย์ ประเทศไทยเป็นคนไข้ที่ฟื้นตัวสู่ภาวะ จากก่อนหน้านี้ป่วยอยู่ห้องไอซียู วันนี้แม้ผลตรวจบอกว่าเป็นปกติ ภาพร่างกายดีขึ้นแล้ว แต่ยังอาจวิ่งไม่ได้เร็วนัก และคนไข้ยังรู้สึกไม่ดีขึ้น”
การประเมินเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมีตัวเลขครบถ้วนทุกด้าน จากการสำรวจผู้บริโภคและผู้ประกอบการ รวมทั้งข้อมูลจากหอการค้าจังหวัด และภาคทฤษฎีเชิงวิชาการ ตัวเลขที่ประเมินจึงไม่สามารถคลาดเคลื่อนไปจากตัวเลขของหน่วยงานราชการ โดยให้กรอบจีดีพี ปีนี้เติบโตที่ 4.2-4.6% หลังจากตัวเลขสภาพัฒน์ไตรมาสแรกเติบโต 4.8% หอการค้าไทยจึงมองว่า “เศรษฐกิจฟื้นแล้วและดีขึ้น” และประเมินว่าปีนี้ จีดีพีไทยอาจเติบโตที่ 4.5%
อุตสาหกรรมเปลี่ยนโครงสร้างยุค4.0
ปัจจัยที่ทำให้ ผู้ประกอบการและผู้บริโภคยังไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว มาจากโครงสร้างธุรกิจบางอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปจากเทคโนโลยีและการแข่งขัน
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโต แต่วันนี้ต้องเผชิญกับดักเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในยุค 4.0 การจ่ายเงินท่องเที่ยวผ่านระบบเพย์เมนต์ของต่างประเทศ เช่น “อาลีเพย์” ดังนั้นการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวไม่ใช่แค่ประเทศไทยได้ประโยชน์ แต่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากต่างชาติได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่านอกจากเศรษฐกิจโลกจะเผชิญปัญหาเชิงพื้นฐานแล้ว ยังเจอปัญหาเชิงโครงสร้างเปลี่ยนจากเทคโนโลยี
เช่นเดียวกับภาคเกษตร ที่วันนี้ตัวเศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ทำไมภาคการเกษตรยังไม่ได้อานิสงส์ และคนยังไม่รู้สึกดีขึ้น มาจากการปรับโครงสร้าง 4.0 การก้าวสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่เกิดขึ้นทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว จะเห็นได้ว่า ตัวเลขจีดีพี ที่เป็นข้อเท็จจริง กับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นจริง จากตัวเลขส่งออกที่ปีนี้น่าจะเติบโต 8-10% ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้น่าจะทำได้ 39 ล้านคน โดยมีการลงทุนของ”อีอีซี” และเมกะโปรเจคต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญขับเคลื่อนการเติบโตในครึ่งปีหลัง จึงฟันธงว่า เศรษฐกิจจะเริ่มรู้สึกว่าเติบโตจริงในเดือนธันวาคมปีนี้ เพราะสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ บ่งชี้ชัดเจนว่าดีขึ้นต่อเนื่อง
วันนี้ “หนี้ครัวเรือน” ยังเป็นปัญหา ทำให้คนไม่ซื้อสินค้า แต่ปัจจุบัน ตัวเลขเงินออมสูงกว่ารายจ่าย โดยกลุ่มคนที่มีปัญหาทุกครั้งจากการสำรวจคือ กลุ่มที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน แต่เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีไม่สูง
แต่เมื่อความรู้สึกบอกว่า เศรษฐกิจยังมีปัญหา ทำให้กลุ่มที่มีเงินออมไม่กล้าใช้จ่าย เพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจ
รายได้ไทย“เหลื่อมล้ำสูง”
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าตัวเลขจีดีพี ไตรมาสแรก เติบโต 4.8% แต่ยังไม่เกิดความเท่าเทียมเท่าในทุกภูมิภาค มาจากปัญหาเชิงโครงสร้างรายได้ของประชากรในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ติดอันดับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
โดยคนรวยที่สุด 10% มีรายได้มากกว่า 35เท่า ของคนจนสุด 10% และเป็นเจ้าของทรัพย์สิน 79% ของประเทศ และคนรวย 0.1% ของประชากรไทย มีเงินฝากธนาคารเกือบครึ่งหนึ่งของเงินฝากทั้งหมด
ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง มาจากนโยบายที่ไม่ทัดเทียมในแต่ละภูมิภาค พบว่าสัดส่วน 40% ของประชากรไทย หรือประมาณ 27 ล้านคน เป็นคนจนและคนเกือบจนและผู้มีรายได้น้อย หรือรายได้ต่ำกว่า 5,344 บาทต่อคนต่อเดือน หรือ 65,000 ต่อปี ในกลุ่มดังกล่าวสัดส่วน 20% ของประชากรไทย หรือประมาณ 10 ล้านคน เป็นคนจนและเกือบจน รายได้ต่ำกว่า 3,200 บาทต่อคนต่อเดือน
คนกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ควรมียุทธศาสตร์รองรับ โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 มุ่งยกระดับกลุ่ม 40% ที่มีรายได้น้อย ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 15% ต่อปี
“การปรับโครงสร้างให้มีความเท่าเทียม มุ่งสร้างการขยายตัวระหว่างภูมิภาคกับส่วนกลางให้เชื่อมโยงกัน ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจเน้นใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อนและสร้างรายได้มากขึ้น”