วันนี้ (27 พ.ค.) มีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นรอบสุดท้าย มี ดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานที่ประชุม โดยมีการปิดผนึกใน 2 เรื่อง เพื่อส่งไม้ต่องานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่
ดร.ศิริ บอกว่ามี 2 เรื่องที่ส่งต่อให้เป็นที่เรียบร้อย ก็คือ การดูแลสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ให้ติดลบ โดยล่าสุด ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) มีราคาต่ำลงเหลือ 410-420 ดอลลาร์ต่อตัน ทำให้การใช้เงินกองทุนฯ เพื่ออุดหนุนส่วนต่างราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน เพื่อตรึงราคาแอลพีจี ถังขนาด 15 กก.ไม่ให้เกิน 363 บาทคลี่คลายลง วงเงินชดเชยจึงยังไม่เกิน 7,000 ล้านบาทตามที่กบง.ได้วางกรอบไว้
นับถึงวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา เงินไหลออกจากการชดเชยแอลพีจีอยู่ที่ 6,582 ล้านบาท และสถานะกองทุนน้ำมันฯเป็นบวกอยู่ที่ 34,229 ล้านบาท
รวมถึงได้วางแนวทางรับมือวิกฤติพลังงาน จากกรณีเรือบรรทุกน้ำมันของซาอุดีอาระเบียถูกโจมตีใกล้บริเวณช่องแคบฮอร์มุซ และมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐ ประกอบกับสงครามการค้าสหรัฐและจีน โดยกำหนดให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลเส้นทางเดินเรือของเรือบรรทุกน้ำมันที่เข้ามาประเทศไทยทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าเรือมาที่ไทยตามเป้าหมาย มีการบริหารจัดการน้ำมันดิบ ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปกำชับไม่ให้เกิดการกักตุน ป้องกันราคากระชากขึ้น ประกอบกับมีสต็อกน้ำมันสามารถใช้ได้ 30-45 วันมากกว่าที่กฎหมายกำหนด
ขณะเดียวกันก็มีการซักซ้อมรับมือกับวิกฤติการณ์มาหลายครั้งแล้ว และสถานการณ์ต่างๆก็คลี่คลายลงด้วย จึงมั่นใจได้ว่าไทยจะรับมือกับวิกฤติพลังงานได้อย่างแน่นอน
ส่วนอีกเรื่องที่ยังไม่ลงตัว และคาดว่าจะต้องไปอนุมัติในสมัยหน้าในยุครัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ก็คือ การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่กำหนดปริมาณไม่เกิน 1.5 ล้านตัน เพื่อนำร่องเปิดเสรีกิจการก๊าซ
แม้จะได้ชื่อผู้ที่เสนอราคาต่ำสุดแล้ว คือ ปิโตรนาส แต่ก็ยังไม่สามารถอนุมัติให้กฟผ.ลงนามในสัญญาได้ เพราะจะต้องให้กฟผ.และบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำเข้าแอลเอ็นจีรายเดียวมาก่อน ไปหารือกันให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดสัญญา Take or Pay หรือไม่ใช้ก็ต้องจ่าย ประกอบกับยังมีเวลาเหลือพอก่อนถึงกำหนดให้มีการลงนามสัญญาซื้อขายของกฟผ.และผู้นำเข้าแอลเอ็นจีภายในเดือนกันยายน 2562 งานนี้จึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ
เรื่องนี้ ดร.ศิริ บอกว่า จากการหารือล่าสุด กฟผ.จะต้องเข้ามาร่วมรับภาระบางส่วนตามสัญญา DCQ (Daily Contract Quantity (DCQ) หรือ ปริมาณก๊าซที่ผู้ขายจะต้องส่งมอบตามสัญญาให้แก่ผู้ซื้อในแต่ละวัน เพราะเดิมปตท.จัดหาก๊าซแต่เพียงผู้เดียว เมื่อมีกฟผ.เข้ามาเป็นผู้ขายด้วย กฟผ.ก็ต้องเข้ามาร่วมรับภาระด้วยเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นเท่าไหร่นั้นต้องหารือกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป
เรื่องนี้ต้องคุยกันหลายรอบ เพราะปตท.เจอเหตุเหนือความคาดหมาย จากการที่ลูกค้าก๊าซของปตท.หดหายลงไปจำนวนไม่น้อย เพราะการผุดขึ้นของการผลิตไฟฟ้าใช้เองจากโซลาร์เซลล์ ทั้งของผู้ประกอบการ และประชาชน ขณะเดียวกันผู้ที่เสนอขายแอลเอ็นจีให้กฟผ.ล็อตนี้สามารถจัดหาในปริมาณสูงมากกกว่า 1 ล้านตัน ก๊าซที่ปตท.ไปผูกไว้กับผู้ขายต่างประเทศก็เลยล้น จะจบลงอย่างไรเรื่องนี้รอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่มาเคาะ
