ปตท.สผ. ทุ่มทุน 3 ปี 1,600 ล้านบาท ส่งต่อให้ “เออาร์วี” บริษัทลูกใหม่ล่าสุด วิจัยและพัฒนา AI ตอบสนองภารกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ปักธงเป็นผู้นำ AI ในภูมิภาคภายใน 3-5 ปี
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. ตั้งบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ “เออาร์วี” ( ARV ) เป็นบริษัทย่อยภายใต้ บริษัท อีพี-เทค เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นทั้งหมดโดย ปตท.สผ. เพื่อเดินหน้ายุทธศาสตร์การลงทุนในธุรกิจใหม่ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยต่อยอดจากเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น เพื่อใช้สนับสนุนกิจกรรมการสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม
นอกจาก ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ ปตท.สผ. เออาร์วี ยังยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากด้านพลังงาน โดยเออาร์วี จะมีการลงทุนในระยะแรก (2562 – 2564) ประมาณ 1,600 ล้านบาท มีเป้าหมายเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ (AI) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในระยะเวลา 3-5 ปี
ดร. ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป เออาร์วี กล่าวว่า บริษ้ทมีเป้าหมายระยะยาวในการเป็นแพลตฟอร์ม เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งจากภาคการศึกษา อุตสาหกรรม รวมถึงสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาบุคลากร ตอบสนองความต้องการของธุรกิจในยุคนี้และในอนาคต
หนึ่งในเทคโนโลยีล่าสุดที่เป็นผลจากความร่วมมือของเออาร์วี และพันธมิตรจากประเทศนอร์เวย์ คือ หุ่นยนต์ซ่อมบำรุงท่อใต้น้ำ (Subsea Flowline Control and Repair Robot : SFCR) ตัวแรกของโลก ที่สามารถตรวจสอบ และซ่อมท่อส่งปิโตรเลียมใต้น้ำได้โดยอาศัยการควบคุมจากระยะไกล ช่วยลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในงานซ่อมแซมได้กว่าครึ่งจากการทำงานรูปแบบเดิม และลดความเสี่ยงของทรัพยากรบุคคล
นอกจากนี้ เออาร์วี ยังให้บริการ และอยู่ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ สำหรับการปฏิบัติงานทั้งบนบก ในทะเล และทางอากาศ อาทิ หุ่นยนต์ใต้น้ำอัตโนมัติไร้สาย (Inspection-class Autonomous Underwater Vehicle : IAUV) สำหรับตรวจสอบอุปกรณ์ใต้น้ำได้โดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบท่อส่งปิโตรเลียมใต้น้ำ และโครงสร้างของแท่นผลิตปิโตรเลียมใต้ทะเล เพื่อป้องกันการชำรุด โดยไม่ต้องอาศัยเรือสนับสนุนหรือเจ้าหน้าที่บังคับ หุ่นยนต์ตรวจสอบภายในท่อ (In-pipe Inspection Robot : IPIR) เพื่อใช้สำรวจสภาพภายในท่อปิโตรเลียมที่มีพื้นที่จำกัด สามารถประมวลผลเป็นภาพ 3 มิติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ของการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์
และอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle : UAV) หรือโดรน สำหรับตรวจสอบอุปกรณ์ในที่สูง ถ่ายภาพทางอากาศ และยังสามารถใช้บินสำรวจพื้นที่เกษตรกรรม ช่วยวิเคราะห์พืชผลเพื่อเพิ่มผลผลิต
ทั้งนี้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ ช่วยให้ธุรกิจก้าวข้ามข้อจำกัดของการทำงานในรูปแบบเดิม และสร้างข้อได้เปรียบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดระยะเวลาและต้นทุนในการดำเนินงาน เพิ่มความแม่นยำ ความคล่องตัว ด้วยความสามารถประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์และตัดสินใจเองได้ และเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เช่น การทำงานแทนมนุษย์ในพื้นที่เสี่ยง นอกจากนี้การพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ทำให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวได้กับธุรกิจที่หลากหลาย
สำหรับตัวอย่างการออกแบบซอฟต์แวร์ เพื่อใช้งานด้านต่าง ๆ อาทิเช่น การริเริ่มวิจัย และพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ เพื่อใช้ในการเกษตรอัจฉริยะ ร่วมกับพันธมิตรในภาคการเกษตร และการพัฒนาโดรนแปรอักษร (Swarm Drones) ร่วมกับสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลอง และวิทยุบังคับ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกโดยคนไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
