พปชร.จูน ส.ส.ใหม่ พร้อมยืนยัน ความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล หลังมีการปล่อยข่าวฟุ้ง ย้ำให้ส.ส.เดินหน้าทำงานตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้
วันที่ 14-15 พฤษภาคม 2562 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดสัมมนา ส.ส. 115 คน ภายใต้หัวข้อ “รวมพลัง สร้างไทย” ณ โรงแรม The Zign พัทยาเหนือ จังหวัดชลบุรี โดยมีแกนนำและ ส.ส.พรรค เข้าร่วม อาทิ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้่าพรรค นายอิทธิพล คุณปลื้ม รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท น.ส.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค และ นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค
นายอุตตม กล่าวเปิดการสัมมนาว่า คะแนนเสียงที่ประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐกว่า 8.4. ล้านเสียงสะท้อนความชอบธรรม ของพรรคในการเร่งเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากทำงานจนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐมีอายุเพียง 6 เดือน เป็นพรรคใหม่พรรคเดียวที่สามารถได้ที่นั่ง ส.ส.กว่า 100 คน ดังนั้นต้องขอบคุณทุกคนในความสำเร็จครั้งนี้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนภาคภูมิใจได้เลยว่าเราจะเดินหน้ารับใช้ประชาชน
ขณะนี้การเมืองกำลังเดินหน้าอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาล และมีข่าวฟุ้งไปหมด ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อวานนี้พรรค พปชร.ก็ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเล็ก 11 พรรค แต่จะไม่ติดอยู่ในวังวนที่ฝุ่นตลบในทางการเมือง จะเดินหน้าริเริ่มนโยบายที่นำเสนอไว้กับประชาขนทันที เพราะเมื่อเราได้เป็นรัฐบาล ก็จะได้ทำงานทันที ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ จะต้องขับเคลื่อนการทำงานไปพร้อมกัน ส่วนการเมืองปล่อยให้เดินหน้าไป เนื่องจากตนเอง เลขาธิการพรรค และผู้บริหารดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้ว
ในการจัดสัมมนาใหญ่ ส.ส. ใหม่ ทั้ง 115 คนครั้งนี้ ส.ส.ใหม่มีการประชุมร่วมกับกรรมการบริหารพรรค หารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชนและประเทศ พร้อมรับฟังการบรรยายจากศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน และร่วมระดมความคิดเห็นถึงปัญหาของพื้นที่ที่ต้องได้รับการแก้ไข การบริหารและการดำเนินการด้านเศรษฐกิจ การเมือง กฏหมายของพรรคพลังประชารัฐ ในสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต
นายอุตตม ได้พูดถึงความพร้อมของพรรคในการเป็นแกนนำของการจัดตั้งรัฐบาล โดยกล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่มีส.ส. มาจากทุกภาคของประเทศไทยอย่างสมดุล มีทั้งส.ส. ใหม่ และส.ส.ที่เคยมีประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ในสัดส่วนประมาณ 70/30 และมีทั้งผู้อาวุโส และคนรุ่นใหม่ ทำให้สามารถนำความรู้ประสบการณ์ที่มีในอดีต มาผสมผสานกับมุมมองของส.ส.ใหม่ และคนรุ่นใหม่ในการนำเสนอนโยบาย ที่เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ
นอกจากนี้ ในช่วงการบรรยายเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจไทย กับนโยบายพลังประชารัฐ” นายอุตตม ได้ประกาศวิสัยทัศน์ของพปชร.รัฐ ที่จะแก้ไขปัญหา ขับเคลื่อนปฏิรูปเศรษฐกิจ ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวและมีความผันผวนมากขึ้น โดยเน้น 3 กลุ่มภารกิจเร่งด่วน ประกอบด้วย
1) การเพิ่มกำลังซื้อด้วยเศรษฐกิจฐานราก
2) การปลดล็อคอุปสรรค เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
3) การสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทย จากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนชะลอตัว และสอดรับกับแนวนโยบายหลักของพรรคพลังประชารัฐที่เน้น “ประชารัฐสร้างคน คนสร้างชาติ และประเทศไทยต้องรวย ด้วยพลังประชารัฐ” และ “ทำได้จริง ทำทันที”
สำหรับความท้าทายหลักของไทยใน 2 ปีข้างหน้ามาจากโลกที่ผันผวนมากขึ้น จากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก และคู่ค้าหลักของไทย จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ตลอดจนจากราคาสินค้าเกษตรโลกที่ตกต่ำต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดได้เริ่มส่งผล กระทบต่อการส่งออกไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ที่ติดลบ 3.6% จากการหดตัวของการส่งออกในเกือบทุกอุตสาหกรรม และกระทบกับการส่งออกของประเทศอื่นๆ ในเอเชียเช่นกัน
โดยปัญหาจากภายนอกประเทศ ได้เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ จะเห็นได้จากดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มโตช้าลง และการปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจลงของหน่วยงานหลักของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี แม้ความผันผวนความท้าทายจะมากขึ้น แต่เสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยโดยรวมมีความเข้มแข็ง มีการว่างงานต่ำ อัตราเงินเฟ้อต่ำ เงินสำรองระหว่างประเทศสูง และมีหนี้สาธารณะที่ต่ำกว่าเพดาน ทำให้รัฐบาลมีความสามารถที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
สำหรับในกลุ่มภารกิจเร่งด่วนแรก “การเพิ่มกำลังซื้อด้วยเศรษฐกิจฐานราก” งานสำคัญประกอบด้วย การเร่งดูแลราคาสินค้าเกษตรหลัก เช่น ข้าว ยาง มัน ปาล์ม อ้อย การลงทะเบียนบัตรประชารัฐรอบใหม่ การพักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปี บ้านล้านหลัง ท่องเที่ยวประชารัฐ SME และโชห่วยประชารัฐ รวมทั้งการขับเคลื่อนโครงการมารดาประชารัฐ
กลุ่มภารกิจเร่งด่วนที่สอง “การปลดล็อคอุปสรรค เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ” งานสำคัญประกอบด้วย นโยบาย สปก 4.0 การทบทวนกฏหมายระเบียบที่ไม่จำเป็น การทบทวนโครงสร้างอัตราภาษี และการคืนที่ค้าขายให้พ่อค้าแม่ค้าในเมือง เป็นต้น
กลุ่มภารกิจเร่งด่วนสุดท้าย “การสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต” ประกอบด้วย การเร่งการลงทุนขนาดใหญ่เพื่ออนาคต เช่น EEC SEC ขยายผลไปยัง NEC การสร้าง Smart Cities การยกระดับทุนมนุษย์ เพิ่มค่าจ้างตามทักษะ รวมถึงกองทุนตั้งตนสร้างอาชีพ และการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-curve และเศรษฐกิจดิจิตัล
