ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดอ่อนหนึ่งของการสร้าง Sharing Economy ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะบริการประเภท Ride-Sharing หรือบริการร่วมเดินทาง ก็คือเรื่องของการประกันภัย ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีบริษัทใดในธุรกิจประกันภัยยอมรับทำประกันให้ เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงหลายประการ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ถึงแม้จะไม่มีค่ายใดรับทำประกันให้ การเติบโตของธุรกิจในลักษณะนี้ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังตัวอย่างของการควบกิจการระหว่างแกร็บ (Grab) กับอูเบอร์ (Uber) เมื่อเร็ว ๆ นี้
นั่นจึงทำให้เราได้เห็นอีกหนึ่งเทรนด์เกิดขึ้นตามมา กับการหันไปจับมือกันระหว่างธุรกิจ Ride-Sharing กับธุรกิจ InsurTech ที่นำเทคโนโลยีเช่น บิ๊กดาต้า (BigData) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning) เข้ามาประยุกต์ใช้ในการคำนวณเบี้ยประกัน โดยล่าสุดเป็นความร่วมมือระหว่างแกร็บ (Grab) กับค่ายซันเดย์ (Sunday) ที่เปิดตัวบริการประกันภัย และประกันสุขภาพสำหรับพาร์ทเนอร์ผู้ขับรถโดยสารของแกร็บขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
จุดเด่นของบริการประกันภัยในลักษณะดังกล่าวคือ การที่ซันเดย์นำ BigData และ Machine Learning เข้ามาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ด้านการประกันภัย รวมถึงช่วยประเมินค่าเบี้ยประกันให้เป็นแบบรายบุคคลให้กับพาร์ทเนอร์ผู้ขับของทางแกร็บ ซึ่งทางซันเดย์มองว่า น่าจะตอบโจทย์ และตรงกับความต้องการของพาร์ทเนอร์ผู้ขับรถได้มากกว่า ซึ่งในจุดนี้แสดงให้เห็นว่า BigData และ Machine Learning กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของธุรกิจประกันภัยยุคใหม่ด้วยเช่นกัน
ซินดี้ กัว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซันเดย์ อินส์ เผยว่า ตลาดประกันภัยของประเทศไทยมีความท้าทายสูงมาก และหากซันเดย์ ในฐานะ InsurTech สามารถประสบความสำเร็จในตลาดไทยได้ การเจาะตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยจุดเด่นของการนำ BigData และ Machine Learning เข้ามาใช้คือทำให้เบี้ยประกันของซันเดย์มีราคาต่ำกว่าเจ้าอื่น ๆ ในท้องตลาดประมาณ 20% เนื่องจากเป็นการคำนวณจากพฤติกรรมการขับขี่เป็นรายบุคคล
นอกจากนี้ การรับทำประกันให้กับพาร์ทเนอร์ผู้ขับของบริการประเภท Ride-Sharing ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพาร์ทเนอร์ผู้ขับได้ด้วยอีกทางหนึ่ง
ประสบการณ์ที่แตกต่างของ InsurTech
นอกจากค่าเบี้ยประกันที่ซินดี้ กัว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซันเดย์ยืนยันว่าต่ำกว่าราคาในท้องตลาดประมาณ 20% แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความแตกต่างของ InsurTech ก็คือ ประสบการณ์ในการใช้บริการ โดยการมีคำว่า Tech ในชื่อธุรกิจแปลว่า บริการนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
ซินดี้ กัว เผยว่า การให้บริการหลัก ๆ ของซันเดย์คือให้บริการผ่านเว็บไซต์ easysunday.com และแอพพลิเคชัน Sunday Service โดยหากเป็นการซื้อประกันนั้น สามารถติดต่อซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนถ้าเป็นการเคลมประกันจะทำผ่านแอพพลิเคชัน Sunday Service เป็นหลัก ซึ่งเธอเชื่อว่า สามารถอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้ไม่แพ้การติดต่อเข้าคอลล์เซนเตอร์ อีกทั้งยังสามารถให้ข้อมูลการซ่อมรถกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์อีกด้วย
โดยในส่วนของรูปแบบของการประกันภัยที่ซันเดย์ร่วมออกแบบให้กับพาร์ทเนอร์ผู้ขับของทางแกร็บ ตามการเปิดเผยของนายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า มี 3 โมเดล ได้แก่
- Grab Motor : เป็นประกันภัยที่คำนวณจาก Big Data และ Machine Learning ที่ให้ความคุ้มครองกับพาร์ทเนอร์ผู้ขับของแกร็บ ทั้งในขณะรับ-ส่งผู้โดยสาร และขณะใช้ขับส่วนตัว
- Grab Gold : เป็นประกันภัยรถยนต์ราคาพิเศษสำหรับรถเช่าเพื่อขับกับแกร็บ ซึ่งจะทำให้ค่าเช่ารายเดือนมีราคาถูกลง โดยที่ผู้นั่งและผู้ขับยังคงได้รับการคุ้มครอง
- Grab Health : เป็นบริการประกันสุขภาพที่แกร็บซื้อให้กับพาร์ทเนอร์ผู้ขับของแกร็บที่ได้รับเลือก และสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ ฯลฯ ได้อัตโนมัติ โดยตัวแทนจากซันเดย์เผยว่า หากเป็นผู้ป่วยนอกจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่ 1,500 บาทต่อครั้ง และถ้าเป็นผู้ป่วยในจะครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล 200,000 – 300,000 บาท ซึ่งหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกว่าผู้ขับรายใดจะได้รับสิทธินี้นั้น แกร็บไม่ได้เปิดเผยทั้งหมด ระบุแต่เพียงว่า พิจารณาจากระยะเวลาที่อยู่ในระบบ และจำนวนครั้งที่ผู้ขับช่วยรับส่งผู้โดยสารว่ามีมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ ในส่วนของแกร็บไบค์ (Grab Bike) นั้น ก็มีการเจรจาเพื่อพัฒนาโมเดลด้านการประกันภัยที่เหมาะสมอยู่เช่นกัน โดยนายธรินทร์ชี้ว่า จะได้เห็นผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยกับผู้ขับแกร็บไบค์ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย พร้อมชี้ว่าบริการในลักษณะดังกล่าวจะช่วยให้มีผู้สนใจและเข้ามาขับรถในระบบของแกร็บมากขึ้นอย่างแน่นอน
