การเมือง ณ เวลานี้ต้องบอกว่าเริ่มร้อนแรงทวีตามอุณหภูมิของประเทศไทย ภายหลังปิดหีบเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา มีเรื่องราวมากมายปรากฏขึ้นเพียงพอให้เห็นถึงทิศทางการเมืองไทยต่อจากนี้
โดยเฉพาะจากกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเมื่อวันที่ 5 เมษายน ให้มีการเลือกตั้งใหม่ 6 หน่วย 5 จังหวัด ในวันที่ 21 เมษายน 2562 เนื่องจากผลการนับคะแนนซึ่งมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิไม่ตรงกับจำนวนบัตรที่ใช้ออกเสียงลงคะแนน
ประกอบด้วย ลำปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 โดยเขตนี้ให้มีการเลือกใหม่จำนวน 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 5 ตำบลปางหลวง อำเภอเกาะคา และหน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ที่ 2 ตำบลศาลา อำเกาะคา
ยโสธร เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย
เพชรบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 12 หมู่ที่ 12 ตำบลเข็กน้อย และตำบลเขาค้อ
พิษณุโลก เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ตำบลมะตูม อำเภอพรหมพิราม
กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 13 หน่วยเลือกตั้งที่ 32 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งใหม่รอบนี้เป็นที่น่าจับตาตรงเป็นพื้นที่ระหว่าง พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ และแซมด้วยพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อส่องดูรายชื่อ ส.ส. ของแต่ละพรรคซึ่งได้รับคะแนนจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่จะต้องลงกรำศึกรอบใหม่ เริ่มจากจังหวัดลำปาง อิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้รับ 42,984 คะแนน และ วัฒนา สิทธิวัง พรรคพลังประชารัฐ 30,368 คะแนน
จังหวัดยโสธร บุญแก้ว สมวงศ์ พรรคเพื่อไทย มี 50,584 คะแนน ขณะที่ รณฤทธิชัย คานเขต พรรคพลังประชารัฐ ได้ไป 14,292 คะแนน จังหวัดเพชรบูรณ์ พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ พรรคพลังประชารัฐ ได้ 37,011 คะแนน และ ชัยณรงค์ สืบสุรีย์กุล พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 15,119 คะแนน
จังหวัดพิษณุโลก นพพล เหลืองทองนารา พรรคเพื่อไทย ได้ 32,965 คะแนน และ จ.ส.อ.พัฒณปกรณ์ ดอนตุ้มไพร พรรคพลังประชารัฐ ได้ 27,603 คะแนน
และกรุงเทพมหานคร ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ พรรคพลังประชารัฐ ได้ 27,489 คะแนน และ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส พรรคเพื่อไทย ได้ 23,912 คะแนน
ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจพร้อมจับตาโดยเฉพาะการเลือกตั้งรอบใหม่นี้ คือ ไม่ว่าผลคะแนนความนิยมก่อนหน้าจะเป็นอย่างไร เท่ากับต้องมารีเซ็ตนับหนึ่งใหม่ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเปิดพิ้นที่ให้กับทุกพรรคการเมืองได้กลับลงสนามเพื่อเล่นอีกครั้ง ใช่เพียงแค่พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคประชาธิปัตย์
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่สามารถตัดสินใจเลือกอีกรอบว่า จะให้พรรคหรือนักการเมืองคนใด เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศแทนปวงชนชาวไทย ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีอีกประการ
ทว่า หากให้มองอีกมุมหนึ่งซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน คือ การเลือกตั้งใหม่นั้นมีผลต่อการเพิ่มหรือลดจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรค โดยเฉพาะเมื่อนำมาคำนวณเพื่อให้ได้ตัวแทนในระบบปาร์ตี้ลิสต์ ที่กำลังเป็นปมให้ฉงนอยู่เวลานี้
หากพรรคใดได้คะแนนมากหรือน้อย นั่นหมายถึง จำนวนเก้าอี้ ส.ส. ที่จะขยับตามมาใช้คอยเสริมทัพบนเวทีสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นทุกคะแนนมีความหมาย ไม่หล่นน้ำ จึงต้องมาดูว่าการเลือกตั้งรอบใหม่จะมีอะไรพลิกล็อคเซอร์ไพรส์หรือไม่
