Business

เช็คด่วน!! เปิดชื่อหุ้นใหญ่ราคาต่ำพื้นฐาน

ภายใต้สถานการณ์การเมืองยังไม่มีความชัดเจนว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาล ซึ่งต้องรอความชัดเจนจนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็แกว่งตัวผันผวนตามทิศทางการเมืองเช่นกัน และในภาวะที่ขาดปัจจัยสนับสนุนนั้น ผู้ลงทุนรงต้องคัดเลือกหุ้นที่ราคายังปรับตัวขึ้นไปไม่ไกล และยังมีส่วนต่างในการทำกำไร

จากการรวบความเห็นของนักวิเคราะห์ 5 แห่ง พบว่าหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ เมื่อประเมินจากปัจจัยทางเทคนิค ซึ่งเหมาะกับการใช้เป็นสัญญาณตัดสินใจลงทุนในระยะกลาง ถึงระยะสั้น  และพบว่าราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไปไม่มาก หรือยังอยู่ต่ำกว่าราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นมีโอกาสที่ผู้ลงทุนจะได้รับกำไรจากการลงทุนในช่วงนี้

หุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ปี 62 01

ทั้งนี้ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี หรือ CGS-CIMB แนะนำให้ทยอยซื้อ หุ้นใน เซ็ท 50 ที่มีราคาปรับฐานลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจกลับเข้าลงทุนอีกครั้ง โดยคัดเลือกหุ้นจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน เซ็ท 50  ซึ่งเป็นหุ้นที่ทางฝ่ายวิจัยทำการศึกษา และเป็นหุ้นที่ทาง CGS-CIMB ให้คำแนะนำทางพื้นฐานให้ซื้อ และเป็นหุ้นที่มีค่าที่บอกให้เห็นปริมาณการซื้อหรือขาย RSI (Relative Strength Index) น้อยกว่า 45 เทียบกับตลาดที่มี RSI ระดับ 46.04

โดยฝ่ายวิจัยจะได้หุ้นที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วย ROBINS (RSI 25.29) ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาเป้าหมายตามพื้นฐานและมีโอกาสปรับขึ้น (upside) ประมาณ 37% จากราคาเป้าหมาย 78 บาท, TRUE (RSI 38.07) มี upside 15% จากราคาเป้าหมาย 5.50 บาท, CPALL (RSI 38.11) มี upside 15% จากราคาเป้าหมาย 85บาท, CPN (RSI 40.99) มี upside 23% จากราคาเป้าหมาย 89.25 บาท, MTC (RSI41.80) มี upside 18% จากราคาเป้าหมาย 53 บาท, PTTGC (RSI 43.31) มี upside 23% จากราคาเป้าหมาย 83 บาท, KBANK (RSI 43.32) มี upside 28% จากราคาเป้าหมาย 244 บาท และ CENTEL (RSI 43.78) มี upside 26% จากราคาเป้าหมาย 54 บาท

บล.เออีซี ระบุว่า หุ้นในดัชนีเซ็ท 100 ที่ราคาปรับตัวขึ้นสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานแล้ว ได้แก่ CBG (ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 83.7% จากต้นปี (YTD),ทำให้มีโอกาสปรับลดลงได้ (Downside ) 9.5%, DTAC ราคาเพิ่มขึ้น 16.8%จากปีต้นปี, มี (Downside 1.6%) และ GULF ราคาเพิ่มขึ้น 11.7%, Downside 6.1%

ขณะที่หุ้นเซ็ท 100  ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไม่แรง และยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน เช่น  STA (ราคาปรับลดลง 11.3% ตั้งแต่ต้นปี,มีโอกาสปรับตัวขึ้น 25%),  IVL ราคาปรับลดลง 11.1% จากต้นปี, ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น 40.7%) และ ROBINS ราคาหุ้นลดลง 10.2%จากต้นปี, มีโอกาสปรับตัวขึ้น 27.3%)

บล.ฟินันเซียไซรัส ประเมินว่าหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงนี้ ได้แนะนำให้ลงทุนหุ้นกลุ่มที่ไม่ถูกกระทบจากการเมือง ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ EA, BGRIM, GULF, RATCH, EGCO กลุ่มการแพทย์  BDMS, BCH, EKH  กลุ่มท่องเที่ยว ERW, MINT กลุ่มโรงกลั่น ซึ่งได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นฟื้น และส่วนต่างผลิตภัณฑ์หรือ stock gain  ได้แก่ SPRC, TOP กลุ่มเครื่องดื่ม ได้แก่ TACC, SAPPE  และกองรีท( REIT) แนะนำ กองที่มีอัตราผลตอบแทน (yield) สูงเช่น EGATIF, QHPF, SPRIME, WHART, BTSGIF

บล.ทิสโก้ แนะนำว่า หุ้นที่น่าลงทุนเป็นหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ดัชนี MSCI เปลี่ยนกฎใหม่ โดยอาจนำ NVDR ของหุ้นไทยมาร่วมคำนวณน้ำหนักการลงทุน โดยหุ้นที่น่าจะได้รับประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า ประกอบด้วย  SCC, BDMS, INTUCH, CPN, RATCH, LH, BANPU, CENTEL, DTAC

รวมทั้งหุ้นเข้าข่ายจะมีเงินไหลเข้าจากกรณี ซื้อเพื่อทำราคาก่อนปิดงวดบัญชี หรือ Window Dressing ประกอบด้วย  AEONTS, HMPRO, MINT, SEAFCO, VGI  รวมทั้ง หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียงของทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะได้ร่วมเป็นรัฐบาลหรือไม่ก็ตาม การบริโภค CPALL, BJC, CPN, AEONTS, RS ตลอดจนหุ้นการลงทุน AMATA, WHA, STEC, SEAFCO, BTS, BEM

บล.ทรีนีตี้ ประเมินหุ้นที่คาดว่าจะสามารถปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงถัดไป 8 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงที่ราคายังคงปรับตัวขึ้นไม่มาก( Laggard) และมีมูลค่าถูก ได้แก่ BBL, PTTGC, BCP
  2. กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ได้แก่ ERW, MINT, CENTEL
  3. กลุ่มโรงกลั่นที่คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานดีในไตรมาส 1/2562 ได้แก่ TOP
  4. กลุ่มหุ้นที่อาจถูกนำเข้าสู่ดัชนี MSCI และอาจถูกเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI หากมีการบังคับใช้เกณฑ์ NVDR ใหม่ ได้แก่ INTUCH, SCC, BDMS, CPN
  5. กลุ่มหุ้นที่มีโอกาสถูกนำเข้าสู่ดัชนี MSCI ในรอบถัดไป ได้แก่ KTC
  6. กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนีเซท 50 ในรอบถัดไป ได้แก่ OSP
  7. กลุ่มหุ้นที่รับรู้ข่าวร้ายไปมาก และมีความเสี่ยงต่ำแล้ว ได้แก่ ROBINS
  8. กลุ่มหุ้นที่มักปรับตัวได้ดีในทุกไตรมาส 2 ของทุกๆปี ได้แก่ KCE

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight