เป็นอะไรที่น่าจับตาแบบพลิกตำราเซียน สำหรับพรรคน้องใหม่มาแรงอย่าง “อนาคตใหม่” ที่นำองคาพยพ โดย “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูง กับการกระโดดลงสนามการเมืองเป็นครั้งแรก ในการขับเคลื่อนให้พรรคเก็บกวาดชัยชนะเลือกตั้งไปได้อย่างล้นหลาม สะท้อนจากผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการภายหลังการปิดหีบ
ในวันนี้ (25 มี.ค.) หลังการนับคะแนนผ่านไปแล้ว 94% ปรากฏว่า อนาคตใหม่มาเป็นอันดับ 3 มี 5,311,458 คะแนน ซึ่งต้องบอกว่าเหนือกว่าพรรคเก่าแก่อย่าง ประชาธิปัตย์ 3,281,958 คะแนน และ ภูมิใจไทย 3,247,658 คะแนน ซึ่งภาพรวมของทั้ง 2 พรรค ถือว่ามีความเชี่ยวในทางการเมืองมากกว่า แต่กลับเป็นรองพรรคน้องใหม่ เรียกได้ว่าโดนทิ้งห่างแบบไม่ติดฝุ่น
ผลคะแนนที่ออกมา ทำให้หลายคนเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “เพราะอะไร คะแนนจึงเทไปหาอนาคตใหม่“
เมื่อพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว ต้องยอมรับว่า “ธนาธร” แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัด ถึงความเป็น “คนรุ่นใหม่” ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “แนวคิด” และ “เรื่องที่ต้องการเปลี่ยนแปลง” ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” รวมถึงสกัดกั้นเสียง “250 ส.ว.” ไม่ให้มีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรี
เพียงแค่ 2 ประเด็นนี้ ก็ค่อนข้างเข้าเป้าตรงจุดใครหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ New Voter ที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นปรากฏการณ์กระแส “ฟ้ารักพ่อ” ทั่วโลกโซเชียลมีเดีย และสามารถครองใจประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นได้
นอกจากนี้ การเดินสายทัวร์เรียกคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะตามสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อันเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งครั้งแรก ที่มีอยู่โดยรวมมากถึง 5,616,261 คน เพื่อสื่อสารบอกกล่าวแนวคิดนโยบายของพรรค ยิ่งทำให้ธนาธร รวมถึง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทำให้คะแนนที่ปรากฏ จึงไม่เหนือความคาดหมายมากนัก
อีกปัจจัยหนึ่ง ที่อาจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน คือ กรณีที่ “ไทยรักษาชาติ” เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง โดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค จนทำให้คะแนนสวิงกลับมาหา “อนาคตใหม่”
ทั้งการที่พรรคการเมืองเก๋าเกมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เพื่อไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ยังเล่นเกมการเมืองแบบเดิม มีการสาดวาทกรรมใส่กันเป็นระยะๆ ตลอดช่วงเวลาการเสียง ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความเป็นไปได้ ที่จะเกิดความขัดแย้งในภายภาคหน้าแบบไม่ไกลเกินเอื้อมขึ้นมา ทำให้ผู้คนที่เคยเข็ดขยาดกับความขัดแย้งในบ้านเมือง กลัวเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เลยหันมาเทคะแนนนให้ “อนาคตใหม่” เสริมความแรงที่มีอยู่แล้ว ให้พุ่งแรงขึ้นไปอีก
ทว่า ทั้งหมดทั้งมวลคงต้องรอติดตามจนหยุดสุดท้ายของผลนับคะแนนอย่างเป็นทางการ ว่าจะมีอะไรให้คลาดเคลื่อนออกไปจากนี้หรือไม่