Finance

บาทแข็งฉุดกำไร ‘TU’ ไตรมาสแรกร่วง 39%

Photo 1Qearning

บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ลดลง 39.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังยอดขายลดลงจากการปรับลดราคาสินค้าตามราคาวัตถุดิบที่ลดลง รวมถึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกันการปรับตัวลดลงของราคาวัตถุดิบปลาทูน่าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บริษัทมีสต็อกวัตถุดิบที่มีราคาสูงกระทบต่อการทำกำไรของบริษัท สำหรับแนวโน้มในปีนี้ ยังมีมุมมองในเชิงบวกหลังประสบความสำเร็จในการเจรจาปรับราคาสินค้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ในตลาดยุโรปและอเมริกา โดยราคาสินค้าใหม่มีผลบังคับใช้ในไตรมาส 2/61 อีกทั้งต้นทุนราคาวัตถุดิบกุ้งและแนวโน้มตลาดอเมริกาที่มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงยังเดินหน้าแผนลดต้นทุน 1 พันล้านบาทต่อเนื่อง

TU เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 869 ล้านบาท ลดลง 39.3% จากระดับกำไร 1.43 พันล้านบาทในไตรมาส 1/60 และลดลง 39.7% จากระดับกำไร 1.44 พันล้านบาท ในไตรมาส 4/60 โดยผลกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากยอดขายที่ลดลง 5.5% มาที่ 2.97 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการปรับลดลงของราคาขายอันเป็นผลมาจากการปรับลดลงของราคาวัตถุดิบ และการที่ค่าเงินบาทที่ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐ (10.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 และ 4.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/60) หากแยกผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนออก ยอดขายจะปรับตัวลดลงเพียง 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ขณะที่บริษัทมีกำไรขั้นต้นไตรมาส 1/61 ที่ 3.36 พันล้านบาท ลดลง 26.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีเหตุหลักมาจากการปรับตัวลดลงของราคาวัตถุดิบอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบต่อราคาขายและอัตรากำไรขั้นต้นเนื่องจากมีสินค้าคงคลังที่มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในรูปสกุลเงินบาทราว 500 ล้านบาทที่ไม่สามารถส่งผ่านไปยังลูกค้าได้ ส่งผลให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 1/61 อยู่ที่ 11.3% ลดลง 3.17% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60

ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารนั้น แม้ว่ารายได้ในรูปสกุลเงินบาทจะลดลง 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายในไตรมาส 1/61 ยังคงอยู่ที่ระดับ 11.2% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 11.8% ในไตรมาส 1/60 โดยค่าใช้จ่าย SG&A ไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 3.34 พันล้านบาท ลดลง 10% จากระดับ 3.71 พันล้านบาทในไตรมาส 1/60

อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 1/61 บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 581 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 1/60 ที่ 590 ล้านบาท โดยกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวนั้นเป็นผลมาจากบริษัทได้มีการจัดการความผันผวนของค่าเงินได้อย่างดี และจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนในทิศทางที่ดี โดยค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลเหรียญสหรัฐ

“ในไตรมาส 1/61 การดำเนินงานธุรกิจในภาพรวมยังคงถูกท้าทาย โดยเฉพาะจากการปรับตัวลดลงของราคาวัตถุดิบปลาทูน่าอย่างรวดเร็วในขณะที่บริษัทมีสต็อกวัตถุดิบที่มีราคาสูง และการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดขายและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถรายงานผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ได้ที่ 869 ล้านบาท”

TU ระบุอีกว่า สำหรับแนวโน้มปี 61 บริษัทยังมองในเชิงบวก จากการที่บริษัทประสบความสำเร็จในการเจรจาปรับราคาสินค้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ในตลาดยุโรปและอเมริกา โดยราคาใหม่จะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 2/61 ,ราคาวัตถุดิบและราคาสินค้าคงคลังใกล้เคียงกันมากขึ้น ,บริษัทมีมุมมองเชิงบวกกับต้นทุนราคาวัตถุดิบกุ้งและแนวโน้มตลาดอเมริกาที่มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น ,การพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเปิดตัวธุรกิจใหม่ เช่น ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Marine Ingredient นั้นจะมีการเปิดตัวในปีนี้ ,บริษัทยังคงเข้มงวดเรื่องการควบคุมต้นทุน ส่งผลให้บริษัทเดินหน้าแผนลดต้นทุน 1 พันล้านบาท และบริษัทยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้สามารถชำระคืนหนี้สินได้อย่างต่อเนื่อง

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK