Finance

ปัง!! อานิสงส์เลือกตั้งดันหุ้นไทยพุ่ง 90 จุด

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 ดัชนีเพิ่มขึ้น 89.23 จุดคิดเป็น 5.71% โดยกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มทรัพยากร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดส่วนใหญ่ในเอเชีย โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความคืบหน้าในการเจรจาเงื่อนไขทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงความชัดกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ของไทย

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายแยกรายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 8,256.39 ล้านบาท สถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิ 17,838.85 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ มียอดขายสุทธิ 1,076.92  ล้านบาท และ นักลงทุนในประเทศขายสุทธิ 25,018.32 ล้านบาท

Pakorn

“ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ โดยหลังจากนี้ให้ติดตามสถานการณ์สงครามทางการค้า, นโยบายทางการเงินในตลาดโลก, สภาพคล่องและพื้นฐานเศรษฐกิจในตลาดโลก และการเมืองในแต่ละประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางเม็ดเงินดังกล่าว

ทั้งนี้ การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ก็เป็นไปตามทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในอดีต ซึ่งหากย้อนไปในช่วงเดือนกรกฎาคมปี 2554 เป็นการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของไทยในยุค “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี โดยดัชนีก่อนมีการเลือกตั้งจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% และหลังจากการเลือกตั้งจบแล้วดัชนีหุ้นจะปรับลดลงประมาณ 4% รวมทั้งหากย้อนกลับไปช่วงเดือนธันวาคม ปี 2550 โดยมี “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก่อนการเลือกตั้งดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% และหลังจากเลือกตั้งลดลง 10% ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีทิศทางการเคลื่อนไหวในแบบเดียวกัน

เมื่อสำรวจความคิดเห็นของโบรกเกอร์ก็จะพบว่า ส่วนใหญ่เชื่อว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับในอดีตที่ผ่านมา โดย บล.เอเซียพลัส มีความเห็นว่า การกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 24 มีนาคม 2562 น่าจะช่วยดึง Fund Flow ไหลกลับตลาดหุ้นไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นรูปธรรม และกำหนดการที่ชัดเจนของการเลือกตั้ง เชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อดัชนี โดยคาดหวังว่าจะเห็นการไหลกลับเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไปของ Fund Flow ต่างชาติ ซึ่งในช่วงราว 6 ปีที่ผ่านมาได้ลดน้ำหนักการถือหุ้นในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง

S 2973794

นอกจากนี้ ความชัดเจนของวันเลือกตั้งดังกล่าว ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สะท้อนได้จากสถิติในอดีตในช่วงก่อน – หลังการเลือกตั้ง ส.ส. ของไทย 4 ครั้งหลังสุด พบว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน เฉลี่ย 4% และต่อเนื่องไปจนถึงหลังการเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 4.88% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกทั้ง 4 ครั้ง

ขณะที่มีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยสูง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงระดับเป้าหมายดัชนีปี 2562 ไว้ที่พีอีเรโช 16 เท่า หรือ 1,795 จุดตามเดิม โดยให้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังราว 10.9% โดยแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากกระแสการเลือกตั้งชัดเจน ประกอบด้วย

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากความคาดหวังเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะมีมากขึ้นและต่อเนื่องขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งผู้รับเหมารายใหญ่-เล็ก น่าจะได้รับประโยชน์ถ้วนหน้า โดยฝ่ายวิจัยแนะนำ STEC  เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตที่เด่นชัดที่สุด Backlog สูงถึงกว่า 1.1 แสนล้านบาท และ  CK จากความพร้อมเต็มที่ทั้งกำลังพลและเครื่องจักร รองรับงานประมูลใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น และยังมีจุดเด่นสำคัญจากการเข้าไปถือหุ้นบริษัทลูก ช่วยสร้างผลตอบแทนให้ CK สม่ำเสมอ

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้ประโยชน์จากความต้องการสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อรายใหญ่ และ SME ตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชนที่ทยอยเกิดขึ้น แนะนำ KBANK และ BBL

กลุ่มค้าปลีก คาดว่ากระแสการเลือกตั้ง จะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยคึกคักขึ้น หนุนให้เม็ดเงินสะพัดทั้งในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง แนะนำ ROBINS, BJC และ CPALL

กลุ่มสื่อ-สิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะสื่อนอกบ้าน เนื่องจากจะมีการหาเสียง ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งกันมากขึ้น แนะนำ PLANB  จากการมีสื่อประชาสัมพันธ์ที่ครอบคลุมและครบถ้วนในทุกๆ platform และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะของโครงการ EEC ที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง แนะนำ WHA  และ AMATA เชื่อว่าพัฒนาการเชิงบวกทางการเมือง หนุนกระแสเงินทุนไหลกลับ

S 2973795

บล.บัวหลวง เชื่อว่า การประกาศเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 สำหรับมุมมองตลาด ฝ่ายวิจัยคาดตลาดจะยังไม่ได้ขึ้นขาเดียวตลอดทางจนกว่าจะเห็นผลโพลล์รัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ดี สถิติชี้ว่าก่อนการเลือกตั้ง 10 ครั้ง ล่าสุด ดัชนีหุ้นขึ้นถึง 7 ครั้ง ทำให้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า ตลาดจะกลับมาสนใจหุ้นที่เป็นประเด็นการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศ คือ ค้าปลีก การเงิน อาหาร นิคม และท่องเที่ยว

บล.ทรีนี้ตี้ ระบุว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นาช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการที่มีราชกิจจานุเบกษาประกาศพ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งส.ส.เป็นการทั่วไป และนำมาสู่การกำหนดการวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มีนาคมนี้ มองประเด็นดังกล่าวเป็นไปตาม Timeline ที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งน่าจะทำให้โฟกัสของตลาดต่อประเด็นการเมืองนับจากนี้เริ่มลดระดับลง ก่อนที่จะไปพุ่งสูงขึ้นในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้ง คาดปัจจัยอื่นจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นแทน ในเชิงกลยุทธ์ สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่ขายทำกำไรในกรอบดัชนี 1,600 – 1,620 จุดไปแล้ว แนะชะลอการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะแบ่งถือหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูงต่อไป (SETHD) ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนไปแล้วเกือบ 3.75%

บล.กรุงศรี แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยแนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์ภาวะการเมืองปลดล็อคและวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ได้แก่หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (AOT, MINT, CENTEL, ERW) ครม.ขยายเวลามาตรการฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่า (VOA) ถึงวันที่ 30 เมษายน 2562 และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนขยายตัวขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน และกลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO) น่าจะได้ประโยชน์เม็ดเงินที่จะสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ส.ส.

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight