COVID-19

‘อนามัยโลก’ จี้นานาชาติร่วมมือหยุด ‘โควิดระบาดเฉียบพลัน’ ระบุ อยู่ในช่วง ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ สำคัญ

“อนามัยโลก” เรียกร้องนานาประเทศ ทำงานร่วมกันเพื่อยุติ “การระบาดใหญ่อย่างเฉียบพลัน” ของ “โควิด” ระบุ ขณะนี้มีเครื่องมือทุกอย่างที่จะทำเช่นนั้นได้ พร้อมส่งสัญญาณ อาจประกาศยุติ “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” ภายในปีนี้ 

วันนี้ (24 ม.ค.) นพ.ทีโดรส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนางสเวนยา ชูลซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาเยอรมนี ว่า การระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ได้เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว และโลกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ

“เราต้องทำงานร่วมกัน เพื่อที่จะทำให้การระบาดอย่างเฉียบพลัน ของการระบาดใหญ่นี้ ยุติลง เราจะปล่อยให้สถานการณ์ลากยาวต่อไป จนทำให้เกิดความตื่นตระหนก และการละเลยไม่ได้”

shutterstock 1502520206 1

นพ.ทีโดรส บอกด้วยว่า เยอรมนีได้กลายเป็นประเทศผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดขององค์การอนามัยโลก แต่ไม่ได้เผยรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งก่อนหน้านี้ สหรัฐเคยเป็นประเทศผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ที่สุดขององค์การอนามัยโลก

ขณะที่นางชูลซ์ กล่าวว่า เรื่องสำคัญอันดับแรกของเยอรมนี ที่รับตำแหน่งประธานของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ (จี7) อยู่ คือ การยุติการระบาดใหญ่ทั่วโลก พร้อมเรียกร้องให้มีการเร่งฉีดวัคซีนต้านโควิดครั้งใหญ่ ให้เป็นการณรงค์ฉีดวัคซีนระดับโลกอย่างแท้จริง

ผู้อำนวยการโลก ระบุด้วยว่า เป็นเรื่องอันตรายที่จะสันนิษฐานว่า “โอไมครอน” จะเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์สุดท้าย และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใกล้สิ้นสุดแล้ว

อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ภายในปีนี้ WHO จะประกาศยุติภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถ้าหากประเทศต่างๆมีการใช้มาตรการป้องกันต่างๆอย่างครอบคลุม รวมทั้งมีการฉีดวัคซีนในวงกว้าง

ความเห็นของนพ.ทีโดรสสอดคล้องกับ นพ.ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินของ WHO ซึ่งกล่าวก่อนหน้านี้ว่า โควิด-19 จะไม่มีวันหายไป แต่มีโอกาสที่ WHO จะประกาศยุติภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศในปีนี้

“เราไม่สามารถกำจัดไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ และเราไม่สามารถกำจัดไวรัสนี้ได้อย่างถาวร แต่สิ่งที่เราทำได้คือการประกาศยุติภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในปีนี้”

นพ.ไรอัน ระบุว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เช่น การเข้าถึงวัคซีน และระบบสาธารณสุข

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

Avatar photo