รัฐบาลอินโดนีเซีย ประกาศแผนฉีด วัคซีนโควิดเข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ 1.47 ล้านคน เริ่มสัปดาห์หน้า ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
นายบูดิ กูนาดี ซาดิกิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข อินโดนีเซีย ระบุว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดรอบใหม่นี้ จะใช้วัคซีนของโมเดอร์นา บริษัทเวชภัณฑ์สหรัฐ หลังจากที่ สำนักงานกำกับดูแลอาหาร และยา อินโดนีเซีย (BPOM) และคณะที่ปรึกษาด้านเทคนิคการสร้างภูมิคุ้มกันอินโดนีเซีย (ITAGI) ได้อนุมัติการใช้วัคซีนตัวนี้แล้ว
“การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 นี้ ผ่านการอนุมัติแล้ว และเราจะใช้ใช้วัคซีนโมเดอร์นา เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้ตอบสนองต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ต่าง ๆ”
การฉีดวัคซีนเข้มที่ 3 นี้ จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนที่ทำงานด้านสาธารณสุขก่อน เพราะคนเหล่านี้ ต้องรับมือกับผู้ติดเชื้อทุกวัน ท่ามกลางอัตราการติดเชื้อรายใหม่ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
“เราต้องสร้างความมั่นใจ ถึงการปกป้องอย่างสูงสุดให้กับพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้จดจ่ออยู่กับการทำงานได้”
โมเดอร์นา เป็นวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดตัวที่ 4 ที่ทางการอินโดนีเซียอนุมัติให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน ส่วนอีก 3 ตัวที่ผ่านการอนุมัติแล้ว รวมถึง แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนแวค และซิโนฟาร์ม ทั้งวัคซีนโมเดอร์นา ยังเป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น หรือ mRNA ตัวแรกที่ได้รับอนุมัติให้นำมาใช้ในอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมแพทย์อินโดนีเซีย ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.) มีแพทย์ในอินโดนีเซีย ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิดแล้ว 210 คน โดย 20 คนในจำนวนนี้ ฉีดวัคซีนของซิโนแวคแล้ว ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนดังกล่าวขึ้น
อินโดนีเซียกำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นจากการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา รัฐบาลได้บังคับใช้มาตรการฉุกเฉินบนเกาะชวาและบาหลี เพื่อทำให้อัตราการติดเชื้อลดต่ำลง แต่อัตราการติดเชื้อก็ยังทำลายสถิติในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ยังแสดงให้เห็นว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 38,124 ราย ส่งผลให้ จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,455,912 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุด ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ส่วนผู้เสียชีวิต จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 871 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตรวม 64,631 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในอาเซียนเช่นกัน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
