ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อืนเตอร์มีเดียท ช่วงปิดซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ เมื่อวานนี้ (3 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ร่วงลงเกือบ 2 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่จะทำให้ความต้องการลดลง สาเหตุจาก “จีน” ยึดม้่นในนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” และ “ธนาคารกลางสหรัฐ” ส่งสัญญาณยังไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ย
ราคาน้ำมันดิบ WTI กำหนดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 1.83 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 88.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) กำหนดส่งมอบเดือนมกราคม ราคาลดลง 1.49 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 94.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐ (เฟด) มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (2 พ.ย.) ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 6 ในปีนี้
นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยังระบุว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น และขณะนี้ยังเร็วเกินไป ที่เฟดจะพิจารณาเรื่องการระงับการขึ้นดอกเบี้ย
คำกล่าวของนายพาวเวลทำให้นักลงทุนกังวลว่า วงจรการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะยาวนานกว่าที่คาดไว้ และยังส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ ทำให้น้ำมันดิบ ซึ่งกำหนดราคาซื้อขายเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้น 1.4% แตะที่ระดับ 112.9260
ตลาดยังถูกกดดัน หลังจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (เอ็นเอชซี) ยืนยันว่า จีนจะยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์ แม้ว่าการล็อกดาวน์ และการใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อควบคุมการระบาดของโรค จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็ตาม ซึ่งคำยืนยันดังกล่าวเป็นการดับความหวังของนักลงทุนที่รอคอยการเปิดประเทศของจีน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- พลังงานสากล ชี้ โลกเจอ ‘วิกฤติพลังงานที่แท้จริง’ เป็นครั้งแรก
- ‘ซีอีโอเอ็กซอน’ เตือน เปลี่ยนใช้ ‘พลังงานหมุนเวียน’ กะทันหัน ทำ ‘น้ำมัน’ ราคาพุ่ง
- ‘โกลด์แมน แซคส์’ คาด น้ำมันดิบ ราคาดีดถึง 115 ดอลลาร์ ต้นปี 66 เหตุ ‘โอเปคพลัส’ ลดผลิตครั้งใหญ่