ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดยท (WTI) ปิดซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ เมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น พุ่งแรง ขานรับการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ การลดลงของสต็อกน้ำมันเบนซินสหรัฐ และการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐ ที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ราคาน้ำมันดิบ WTI กำหนดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 2.59 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 87.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) กำหนดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 2.17 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 95.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
น้ำมันดิบราคาพุ่งขึ้น หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลง 1.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 ตุลาคม และยอดการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 5.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
รายงานของอีไอเอ ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งแม้ว่าจะสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 800,000 บาร์เรล แต่ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (เอพีไอ) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ร่วงลง 1.13% สู่ระดับ 109.7010 โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์จะทำให้น้ำมันดิบ ซึ่งกำหนดราคาซื้อขายเป็นดอลลาร์นั้น ถูกลง และน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- พลังงานสากล ชี้ โลกเจอ ‘วิกฤติพลังงานที่แท้จริง’ เป็นครั้งแรก
- ‘ซีอีโอเอ็กซอน’ เตือน เปลี่ยนใช้ ‘พลังงานหมุนเวียน’ กะทันหัน ทำ ‘น้ำมัน’ ราคาพุ่ง
- ‘โกลด์แมน แซคส์’ คาด น้ำมันดิบ ราคาดีดถึง 115 ดอลลาร์ ต้นปี 66 เหตุ ‘โอเปคพลัส’ ลดผลิตครั้งใหญ่