อดีตประธานกรรมการบริหารนิสสัน “คาร์ลอส โกสน์” กล่าวหากลุ่มผู้บริหารร่วมบริษัท จัดฉากเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อให้เขาพ้นจากตำแหน่ง และป้องกันไม่ให้เกิดการกระชับสัมพันธ์ที่มากขึ้นกับ เรโนลต์ ค่ายรถยนต์พันธมิตรสัญชาติฝรั่งเศส
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกนับตั้งแต่โดนจับกุมเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โกสน์ บอกกับหนังสือพิมพ์นิกเคอิ ของญี่ปุ่นว่า เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และโดนผู้บริหารคนอื่นๆ ในบริษัท “วางแผน และทรยศ” ด้วยการจัดฉากความผิดขึ้นมา เพื่อที่จะบีบให้เขาออกจากตำแหน่ง
“รายงานของนิสสัน ที่กล่าวหาถึงความประพฤติที่ไม่เหมาะสม มีเป้าหมายอยู่ที่การกำจัดผม” โกสน์ ระบุ
เขาบอกด้วยว่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เขาได้หารือกับซีอีโอนิสสัน ถึงแผนการที่จะรวมนิสสัน กับเรโนลต์เข้าด้วยกัน และควบรวมพันธมิตรที่มีขนาดเล็กกว่า อย่าง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้ากับฮิโรโตะ ไซกาวะ ซึ่งแผนการที่จะทำให้นิสสัน เรโนลต์ และมิตซูบิชิ มีความสัมพันธ์กันมากขึ้น และรับประกันว่าแต่ละรายจะมีอิสระในการดำเนินงานของตัวเอง ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งแห่งเดียวกัน
ทั้งนี้ แผนการใดๆ ก็ตาม ที่จะโยกอำนาจการบริหารนิสสันออกจากญี่ปุ่น ถือเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง โดยนิสสัน และมิตซูบิชิ ต่างปลดโกสน์ออกจากบอร์ดบริหารของบริษัททันทีที่เขาโดนจับกุม
แต่เรโนลต์ปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น และดึงเรื่องเอาไว้นานร่วม 2 เดือน จนกระทั่งโดนรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทกดดัน และทำให้โกสน์ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งในช่วงต้นเดือนนี้
ในวันนี้ (31 ส.ค.) อดีตผู้บริหารนิสสัน ยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพี และหนังสือพิมพ์เล เซโคส์ ของฝรั่งเศส ประนามเรื่องที่เขายังถูกคุมตัวอยู่ พร้อมระบุว่า การตัดสินใจที่จะปฏิเสธคำขอประกันตัวของเขานั้น เป็นเรื่องผิดปกติในประเทศประชาธิปไตยชาติอื่นๆ
“ทำไมผมถึงโดนลงโทษ ก่อนถูกตัดสินว่ามีความผิด”
เขายังย้ำถึงเรื่องที่ให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการโดนจัดฉากและทรยศ
“เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย ผมมีกองทัพนิสสันยืนอยู่ตรงหน้า คนเป็นร้อยที่ทุ่มเทให้กับคดีนี้ อีก 70 คนในสำนักงานอัยการ และผมถูกทิ้งไว้ในเรือนจำนานกว่า 70 วัน”
“ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ แล้วผมจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร”
เขาบอกด้วยว่า นิสสันพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของเขา
“ผมมีกองทัพมนุษย์ ที่คอยขว้างปาขยะมายังผมทุกวัน ไม่ใช่แต่อัยการเท่านั้นที่กล่าวหาผม แต่ยังมีพวกที่นิสสันอีก พวกเขาดึงข้อเท็จจริงจำนวนมากออกไปจากเนื้อหาของตัวเอง เป็นความบิดเบือนที่จะทำลายชื่อเสียงของผมอย่างแท้จริง”
