“สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดี จีน ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง ในการเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเขามองถึงโอกาสในการปกครองจีน ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจทางเศรษฐกิจ และภูมิภาคอย่างเต็มที่
วีโอเอ รายงานว่า แต่เมื่อละเสียงปรบมือกึกก้องในเวทีประชุมใหญ่ไว้เบื้องหลัง ผู้นำจีน ทราบดีว่า เสียงวิจารณ์บทบาทของเขาทั้งภายในพรรค และจากภายนอกต่างกระหึ่มดังไม่แพ้กัน
ประธานาธิบดีสี เป็นผู้ฝ่ากฎเกณฑ์มากมาย อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับจีน ในขณะที่แทบไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านั้นมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการที่เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ให้ยุติการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ จำคุกสมาชิกระดับสูงที่มีอำนาจในพรรค ลงโทษเจ้าหน้าที่จำนวนมากภายใต้นโยบายปราบปรามการทุจริตในประเทศ และทำให้กองทัพจีนอยู่ภายใต้อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในวาระดำรงตำแหน่ง 2 สมัยที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี ได้ผลักดันความฝันของจีน ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้กลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะของโรงงานอุตสาหกรรมของโลก แต่คือประเทศใหญ่ที่ขึ้นมาขับเคี่ยวกับสหรัฐฯ ในด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
ผู้นำจีนรายนี้ยังได้ขยายโครงการลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานในหลายประเทศทั่วโลก ภายใต้นโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ที่มุ่งเป้าสร้างเส้นทางสายไหมในยุคใหม่ ที่แผ่ขยายไปทุกทวีป กระชับฮ่องกงให้อยู่ภายใต้รัฐบาลปักกิ่ง หลังการประท้วงใหญ่เมื่อปี 2562
พร้อมทั้งต่อต้านสิ่งที่ผู้นำจีนมองว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลวอชิงตันและไต้หวันพยายามเปลี่ยนแปลง “สถานภาพปัจจุบัน” หรือ status quo ของไต้หวัน ด้วยการส่งเครื่องบินรบใกล้เกาะไต้หวัน ด้วยความหวังที่จะรวมดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียว
ฝั่งผู้คัดค้านการบริหารประเทศของสี จิ้นผิง มองว่าผู้นำจีนรายนี้ มีการกระทำที่จุกจิกเน้นรายละเอียด และเป็นผู้นำเผด็จการที่ย่ำแย่ โดยเปรียบเทียบเขากับอดีตผู้นำเหมา เจ๋อตุง และกล่าวหาสีว่า พยายามอยู่ในอำนาจตลอดไป
นอกจากนี้ยังโจมตีการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดเพื่อคุมการระบาดของโควิดที่อ้างว่าเป็นมาตรการรักษาชีวิตประชาชนจีน ว่าทำให้เศรษฐกิจจีนและระบบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกได้รับผลกระทบ
แต่ ลูอิส เฉิน นักธุรกิจที่เป็นเพื่อนกับประธานาธิบดีสี นั้น มองว่า เขานึกถึงอนาคตของประเทศ และชีวิตของประชาชนเป็นหลัก แต่สื่อต่างชาติตีข่าวแต่แง่ลบของเขา
อย่างไรก็ตาม เฉิน มีทัศนะที่สวนทางกับนักวิเคราะห์มากมาย ที่ต่างคาดการณ์ว่า ประธานาธิบดีสี จะไม่เพียงแต่อยู่ต่อในสมัยสามเท่านั้น แต่จะดำรงตำแหน่งตลอดไป เพราะเฉินมองว่า สีอาจตระหนักดีถึงขีดจำกัดของตัวเอง
“ประธานาธิบดีสี เพียงต้องการจะอยู่ต่ออีก 5 ปี เพื่อทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นเท่านั้น”
เฉิน ชี้ว่า แรงกดดันจากภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจมีบทบาทต่อการดำรงตำแหน่งของปธน.สี “เพราะนโยบายต่อต้านการทุจริตที่รุนแรง อาจสร้างความขุ่นเคืองให้กับหลายคนที่เป็นสมาชิกพรรค ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คนเพียงคนเดียวไม่อาจทำหลายสิ่งได้ทั้งหมด”
เส้นทางการเมืองของสี จิ้นผิง
ประธานาธิบดีสี เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในวัยหนุ่ม หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวมากหลายครั้ง ไต่เต้าจากเลขาพรรค ระดับท้องถิ่น จนก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อปี 2555 และเป็นประธานาธิบดีของจีนในเวลาต่อมา
ในแง่อุดมการณ์การเมือง ประธานาธิบดีสีได้รับเสียงวิจารณ์เรื่องการยึดมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มากเกินไป โดยเขาแตกต่างจากผู้นำจีนคนอื่น ๆ ตรงที่เป็นผู้นำจีนที่เกิดหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนครองอำนาจช่วงปี 1949 และเข้ารับการศึกษาในช่วงจีนยุคใหม่
ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำจีน เขามีทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้าน ฝ่ายวิจารณ์ผู้นำจีนกล่าวหาว่า เขาโจมตีคู่แข่งทางการเมืองด้วยนโยบายต่อต้านทุจริต ทำให้การปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศถอยหลังลงคลอง ด้วยระบบการสอดแนมตรวจตราประชาชนในวงกว้าง การปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง การออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่กับฮ่องกง ซึ่งมีผลต่อเสรีภาพของประชาชนที่นั่น
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่วิจารณ์การทำงานของประธานาธิบดีสี ยังโจมตีมาตรการที่ควบคุมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน และมาตรการที่กระทรวงศึกษาธิการของจีนสั่งควบคุมไม่ให้ส่งเด็ก และเยาวชนไปโรงเรียนกวดวิชาหลังเลิกเรียน
ผู้วิจารณ์มองว่าประธานาธิบดีสีพยายามสร้างค่านิยมให้เด็กวัยเรียนต้องเรียนรู้ ตามแนวทางที่เชิดชูอธิปไตย และอุดมการณ์ของชาติ แต่คณะทำงานของเขากลับแย้งว่ามาตรการทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น
ฌอง-ปิแอร์ คาเบสตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจากศูนย์วิจัยฝรั่งเศส เพื่อการวิจัยจีนร่วมสมัย ในฮ่องกง แสดงความเห็นว่า ประธานาธิบดีสี มุ่งเน้นเรื่องอำนาจมากไป และไม่ฟังเสียงของใครอีกแล้ว แรงดึงดันต่อบทบาทของรัฐวิสาหกิจนั้น ไม่ให้ผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะมีเพียงบริษัทเอกชนเท่านั้นที่สร้างงานในจีนตอนนี้
อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้สนับสนุน มองว่าประธานาธิบดีสี ทำสิ่งที่จำเป็นในการต่อต้านการทุจริต และการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด อันเนื่องจากการพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดด ซึ่งนำไปสู่การปล่อยกู้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์มากเกินไป จนก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาของจีน ระบบภาษีที่ล้าสมัยที่ไม่เก็บภาษีบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ จนทำให้เกิดช่องว่างความมั่งคั่งมากขึ้น
สวาระที่สาม?
ในความเห็นของ เฉิน เพื่อนของผู้นำจีน เชื่อว่า ประธานาธิบดีสี จะดำรงตำแหน่งต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อบรรลุเป้าหมายของประเทศ
เป้าหมายสำคัญของประธานาธิบดีสี คือ การเดินหน้าแก้ปัญหาความยากจน โดยเมื่อปีที่แล้ว ผู้นำจีนประกาศความสำเร็จในการทำให้ประชาชนเกือบ 100 ล้านคนหลุดพ้นจากระดับความยากจนมาได้ ในช่วงที่เขาเป็นผู้นำประเทศ แต่ยังมีชาวจีนอีกหลายล้านชีวิตที่ยังดำรงชีพด้วยรายได้ต่ำกว่า 1,000 หยวน หรือราว 5,300 บาทต่อเดือน
ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานาธิบดีสี กล่าวถึงเป้าหมายในการสร้าง “ความมั่งคั่งร่วมกัน” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการจัดสรรความมั่งคั่งขึ้นใหม่ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว และไม่มีความชัดเจนว่า มาตรการนี้จะได้รับการสนับสนุนหรือคัดค้านมากน้อยแค่ไหน
ที่ผ่านมา แผนการที่ผู้นำจีนพยายามผลักดันการเก็บภาษีที่ดิน เพื่อลดการเก็งกำไรและลดความเหลื่อมล้ำ กลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของสมาชิกพรรคมากเท่าใดนัก
ส่วนประเด็นสำคัญในเวทีนี้ ที่ว่าประธานาธิบดีสี จะอยู่ต่ออีก 5 ปีหรือไม่นั้น วิกเตอร์ เกา นักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่า “ไม่มีอะไรที่แน่นอน จนกว่าจะได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ”
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สรุป 8 ประเด็นสำคัญสุนทรพจน์ ‘สีจิ้นผิง’ ประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์
- สีจิ้นผิง โชว์แกร่ง ‘เศรษฐกิจจีน’ ผงาดครั้งประวัติศาสตร์!!
- ‘จีน’ จับผู้ประท้วง แขวนป้าย ‘โค่นล้มเผด็จการ สี จิ้นผิง’ กลางกรุงปักกิ่ง