บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาด เศรษฐกิจจีนในปี 2562 จะเติบโตช้าสุดในรอบ 29 ปี เนื่องจากเริ่มได้รับผลกระทบที่แท้จริงจากการทำสงครามการค้าสหรัฐ
เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า เศรษฐกิจจีน ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแท้จริงราว 6.2% โดยเป็นค่าเฉลี่ยจากการสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 32 คน
ในปีหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจจีนมีความมืดหม่นมากขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ระบุว่า ผลกระทบจากการอัดฉีดทางการคลัง และมาตรการอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะไม่แสดงผลออกมาจนกว่าจะถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2562 หรือหลังจากนั้นไปอีก
อย่างไรก็ดี การคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์แต่ละรายแตกต่างกันออกไปอย่างมาก ไล่ตั้งแต่ต่ำสุดที่มองว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวแค่เพียง 6% ไปจนสูงสุดที่ 6.6% แต่ส่วนใหญ่จะคาดการณ์ถึงการเติบโตที่น้อยกว่าปี 2561
สำหรับช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ของปีนี้ คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 6.4% ลดลง 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้านี้
สำหรับตลอดทั้งปี 2561 คาดว่า อัตราการขยายตัวน่าจะแตะระดับ 6.6% สูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลปักกิ่งกำหนดไว้ที่ราว 6.5% แต่น้อยกว่าการเติบโต 6.7% ในปี 2559
อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ไม่เคยแตะระดับต่ำขนาดนี้มาก่อน นับตั้งแต่ปี 2533 ที่สถานการณ์ในจีนตกอยู่ท่ามกลางความสับสนจากการกวาดล้างการชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปีก่อนหน้านั้น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ ยังคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงไปอีกืในปี 2562
เคนนี เหวิน จากเอเวอร์ไบรท์ ซัน ฮุง ไก กล่าวว่า สงครามการค้าจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีน โตลดลงราว 0.6-0.8%
เขาแสดงความเชื่อมั่นด้วยว่า การชะลอตัวนี้ เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ต่อให้รัฐบาลจีนจะดำเนินมาตรการป้องกันต่างๆ อย่าง หนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และลดภาษีก็ตาม
สงครามการค้าที่เกิดขึ้น ได้แสดงผลต่อเศรษฐกิจจีนไปบ้างแล้ว โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยอดขายค้าปลีกโตต่ำสุดในรอบ 15 ปีครึ่ง
เฉิน เจี้ยนกวาง นักเศรษฐศาสตร์จากเจดี ไฟแนนซ์ กล่าวว่า การใช้จ่าย และการลงทุนของผู้บริโภค ตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะเข้าสู่ขาลงในอีก 2 ปี
ขณะที่ เซียะ เล่อ จากบีบีวีเอ กล่าวว่า การปรับตัวสู่ขาลงของตลาดการเคหะ รวมถึง หนี้ภาครัฐ และธุรกิจในระดับสูง ต่างเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ส่วน เหยา เว่ย จากโซซิเอเต เจเนอราล คอร์เปอเรท แอนด์ อินเวสต์เมนท์ แบงกิ้ง เตือนว่า ไม่มีแนวโน้มที่ความตึงเครียดทางการค้าจะแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยฉุดการส่งออก ซึ่งเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะเจอกับความท้าทายอย่างมากในปี 2562
ความเห็นดังกล่าว ยังสอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ที่ชี้ว่า สงครามการค้า ที่ตึงเครียดมากขึ้น คือความเสี่ยงอันดับ 1 ของเศรษฐกิจจีน
“มีความเสี่ยงที่ความขัดแย้ง จะบานปลายจากเรื่องการค้า ไปเป็นเรื่องเทคโนโลยี ทำให้ความรู้สึกของทั้งผู้บริโภค และนักลงทุนย่ำแย่ลง ในขณะที่การเผชิญหน้ายืดเยื้อออกไป” นางมิโฮโกะ โฮโซกาวา จากมิซูโฮะ แบงก์ ไชน่า กล่าว