รัฐบาลทหารเมียนมาวางแผนเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ กับต่างชาติมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการเปิดพรมแดนฝั่งที่ติดกับไทย และจีน ภายในเดือนมกราคมปีหน้า เพื่อเรียกความเชื่อมั่นทางธุรกิจกลับคืนมา หลังเกิดเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
นายหม่อง หม่อง ออน รัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศของเมียนมา กล่าวว่า รัฐบาลเมียนมากำลังวางแผน ที่จะกลับมาเปิดด่านข้ามพรมแดนทางบกกับไทยและจีน ภายในเดือนมกราคมปีหน้า
หลังจากนั้น เมียนมาจะวางแผนเริ่มเปิดให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างประเทศอีกครั้ง ภายในไตรมาสแรกของปี 2565 หลังสั่งระงับเที่ยวบินรูปแบบดังกล่าว ตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เขาบอกด้วยว่า รัสเซีย จีน และนักลงทุนภาคเอกชนจากอินเดีย ต้องการให้เมียนมากลับมาเปิดพรมแดนประเทศอีกครั้ง เพื่อดำเนินข้อตกลงต่าง ๆ ร่วมกัน โดยรัฐมนตรีรายนี้ มองว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจเริ่มฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นในหลายเมืองสำคัญของประเทศ
นายหม่อง หม่อง ออน ระบุว่า ขณะนี้ หน่วยงานรัฐบาลกำลังสร้างมาตรฐาน การตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และมาตรการอื่น ๆ เช่น กระบวนการกักโรค การออกใบรับรองฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมรับการเดินทางระหว่างประเทศอีกครั้ง โดยในปัจจุบัน เมียนมามียอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสะสมกว่า 513,000 คน และผู้เสียชีวิตกว่า 18,900 คน
เขายังชี้ถึงการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ของเงินจ๊าด ที่ฟื้นตัวขึ้น ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นหลักฐานยืนยัน ถึงความรู้สึกของนักลงทุนที่มีต่อเมียนมาในแง่ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี มุมมองของนายหม่อง หม่อง ออน ถือว่าไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ที่ระบุว่า ในปีนี้ เมียนมา ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศยากจนที่สุดของทวีปเอเชีย อาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหดตัวสูงถึง 18% ซึ่งถ้าเป็นจริง ก็จะเป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ของประเทศ
กระนั้นก็ตาม รัฐมนตรีรายนี้ เลี่ยงที่จะตอบคำถามถึงมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ต่างชาติ ที่มองเศรษฐกิจเมียนมาแตกต่างออกไป โดยหันไปเน้นถึงเรื่อง ประสิทธิภาพของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลทหารเมียนมาแทน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- วิตก ‘เศรษฐกิจ-สังคม’ เมียนมาแย่หนัก หลัง ‘เงินจ๊าด’ อ่อนค่ากว่า 60% ในเดือนเดียว
- ‘เมียนมา’ ขยายเวลา ‘ห้ามเข้าประเทศ’ อีก 1 เดือน หลัง ‘โควิด’ ยังระบาดหนัก
- ‘โควิด-รัฐประหาร’ 2 ปัจจัยฉุด ‘เศรษฐกิจเมียนมา’ หดตัว 18% ปี 64