ยอดลงทุนอาคารเชิงพาณิชย์เอเชียแปซิฟิก ร่วงลงในไตรมาส 3 เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี
เรียล แคปิตัล อะนาไลติคส์ (อาร์ซีเอ) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่เกาะติดการขายอาคารสำนักงาน นิคมอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์รายย่อย อพาร์ทเมนท์ และโรงแรม เปิดเผยข้อมูลล่าสุด ที่แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 3 เดือนนับถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา การลงทุนในอาคารที่สร้างรายได้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ร่วงลง 29% ต่อปี มาอยู่ที่ 27,000 ล้านดอลลาร์ เป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ไตรมาส
ปัจจัยที่ทำให้ยอดการลงทุนดังกล่าวลดลง รวมถึง การที่ธนาคารกลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนหนึ่ง เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย และปกป้องค่าเงินของตัวเองจากเงินดอลลาร์ ซึ่งแนวโน้มนี้ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ หาเงินเพื่อดำเนินการลงทุนใหม่ๆ ได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก การที่ทางการจีนควบคุมการปล่อยกู้ให้กับนักลงทุน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการทำสงครามการค้า ระหว่างจีนกับสหรัฐ ก็ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของนักลงทุนด้วย
รายงานระบุด้วยว่า ในรอบ 12 เดือน จากเดือนตุลาคม 2560 ถึงกันยายน 2561 มีการลงทุนเพิ่มขึ้น 3% ซึ่งเป็นการขยายตัวเทียบรายปีน้อยสุดในช่วง 6 ไตรมาส
จีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดในภูมิภาคนี้ มีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ 34,100 ล้านดอลลาร์ พิจารณาจากปริมาณรอบ 12 เดือน ลดลง 16% ต่อปี และต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ส่วนตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามนั้น ปริมาณการลงทุนรอบ 12 เดือนนับถึงเดือนกันยายน ลดลงมากกว่า 25% ต่อปี ซึ่งรายงานอาร์ซีเอ ชี้วาการขึ้นดอกเบี้ยของประเทศเหล่านี้ ทำให้ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่มูลค่าการลงทุนของญี่ปุ่น หล่นลงมาแตะระดับต่ำสุด นับแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกปี 2550-2551 แต่เกาหลีใต้สามารถต้านทานแนวโน้มนี้่ได้ ด้วยยอดการลงทุนอสังหาริมทรัย์ในประเทศ พุ่งชึ้น 23% เพราะได้รับความสนใจอย่างแข็งแกร่งจากผู้ซื้อในท้องถิ่น
เพตรา บลาซโควา ผุ้อำนวยการอาวุโส รับผิดชอบการวิเคราะห์เอเชีย แปซิก กล่าวว่า การที่ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะสินเชื่อตึงตัว หรือในบางตลาดก็เกิดสถานการณ์นี้ไปแล้ว ทำให้ดูเหมือนว่า กิจกรรมที่เกิดขึ้นในด้านนี้ จะปรับทิศทางเดินสู่ขาลง จาการที่นักลงทุนกำลังพิจารณาว่า จะได้เห็นขั้นต่อไปของวัฎจักรการลงทุนแล้วหรือไม่
