อันสตีล (Ansteel) และ เปิ่นกัง กรุ๊ป คอร์ปอเรชัน (Ben Gang Group Corporation) สองบริษัทผู้ผลิตเหล็กกล้ายักษ์ใหญ่ของจีน ลงนามข้อตกลงควบรวมกิจการและปรับโครงสร้าง ส่งผลให้ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก
ข้อตกลงระบุว่า คณะกรรมการกำกับและบริหารทรัพย์สินของมณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน รัฐวิสาหกิจซึ่งถือครอง เปิ่นกัง จะโอนสัดส่วนการถือหุ้น 51% ของบริษัทให้กับอันสตีล และเปิ่นกังจะกลายเป็นบริษัทในเครือของอันสตีล
หลังการควบกิจการแล้ว อันสตีลจะมีกำลังการผลิตเหล็กกล้าดิบ (crude steel) ที่ 63 ล้านตันต่อปี ขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก รองจากไชน่า เป่าอู่ สตีล กรุ๊ป คอร์ปอเรชัน ลิมิเต็ด (China Baowu Steel Group Corporation Limited) และ อาร์เซเลอร์มิตทัล (ArcelorMittal) ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่จากลักเซมเบิร์ก
แถลงการณ์จากอันสตีล หรือ อังกัง สตีล (Angang Steel) ระบุว่าการควบรวมกิจการจะเพิ่มความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเหล็ก ก้าวสู่การพัฒนาคุณภาพสูงของอุตสาหกรรม และสร้างตนสู่บริษัทเหล็กระดับโลก
“การควบรวมกิจการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาของอันสตีล โดยหลังการปรับเปลี่ยนโครงสร้างแล้ว เราจะเดินหน้าการบูรณาการทรัพยากรและการวิจัยและพัฒนา การจัดซื้อและการขาย ซึ่งมีคุณูปการต่อการพัฒนามณฑลเหลียวหนิง” ถานเฉิงซวี่ ประธานอันสตีล กล่าว
เขากล่าวด้วยว่าจำนวนพนักงานทั้งหมดของอันสตีลหลังการปรับโครงสร้างแล้วจะอยู่ที่ราว 200,000 คน โดยบริษัทให้คำมั่นว่าจะไม่มีการเลิกจ้างพนักงาน
อนึ่ง อันสตีลและเปิ่นกัง ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 และ 1905 ตามลำดับ โดยทั้ง 2 บริษัทตั้งอยู่ในมณฑลเหลียวหนิง
ภายในปี 2025 อันสตีลตั้งเป้ามีผลผลิตเหล็กกล้าดิบต่อปีอยู่ที่ราว 70 ล้านตัน และหัวแร่เหล็ก (iron concentrate) 50 ล้านตัน ซึ่งสร้างรายได้จากการดำเนินงานราว 3 แสนล้านหยวน (ราว 1.53 ล้านล้านหยวน) โดยการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบการต่อต้านการผูกขาดของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในลำดับต่อไป
จีนเป็นผู้ผลิตเหล็กกล้าชั้นนำของโลกมานานหลายปี โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตเหล็กกล้าดิบต่อปีของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.05 พันล้านตัน
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมเหล็กกล้ากำลังเผชิญกับปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน อุปทานต่ำ และการพึ่งพาทรัพยากรเหล็กจากภายนอกในระดับสูง โดยจีนได้ดำเนินการสนับสนุนการปรับโครงสร้างตลาดเหล็ก เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับปริมาณเหล็กที่มากเกินไป และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษอย่างหนัก
ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (2016-2020) อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของจีนส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้างด้านอุปทานและเร่งรัดการควบรวมกิจการและการปรับโครงสร้าง ซึ่งมีความก้าวหน้าที่ดี
ในปี 2020 ผลผลิตเหล็กกล้าดิบของผู้ประกอบการเหล็กกล้า 10 อันดับแรกในจีน ครองสัดส่วน 39% ของผลผลิตทั้งหมดของประเทศ และมีปริมาณเพิ่มขึ้น 4.6 จุด จากปี 2015
แผนการดำเนินงานฉบับหนึ่งซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ระบุว่าภายในปี 2025 จีนจะสร้างกลุ่มบริษัทเหล็กกล้าขนาดใหญ่พิเศษจำนวนหนึ่ง และผู้ประกอบการเหล็กกล้า 10 อันดับแรกของจีน จะครองสัดส่วน 60% ของผลผลิตเหล็กกล้าทั้งหมดของประเทศ