องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าคณะผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนํา 7 ประเทศ (G7) ได้เห็นพ้องระหว่างการประชุมสุดยอด ที่จะแบ่งปันวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยตรงอย่างน้อย 870 ล้านโดส ซึ่งอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจะถูกส่งมอบภายในสิ้นปีนี้
แถลงการณ์จากองค์การฯ ระบุว่ากลุ่มประเทศจี 7 ยืนยันจะให้การสนับสนุนโคแวกซ์ (COVAX) ซึ่งเป็นโครงการระดับนานาชาติขององค์การฯ เพื่อการเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียมทั่วโลก ในฐานะ “ช่องทางหลักในการจัดส่งวัคซีนให้กลุ่มประเทศยากจนที่สุด”
ขณะกลุ่มประเทศพันธมิตรโคแวกซ์ตอบรับพันธสัญญาของกลุ่มประเทศจี 7 พร้อมเรียกร้องการเดินหน้าสนับสนุนการส่งออกวัคซีนในสัดส่วนที่จำเป็น ส่งเสริมการใช้สิทธิบัตรโดยสมัครใจ และการผลิตทั่วโลกโดยไม่หวังผลกำไร
โคแวกซ์กำลังเผชิญปัญหาช่องว่างอุปทานและมุ่งจัดหาวัคซีนให้ได้มากที่สุดในเวลาอันรวดเร็วที่สุด ทั้งยังจะทำงานร่วมกับกลุ่มประเทศจี 7 และประเทศอื่นๆ ในการแบ่งปันวัคซีนอย่างรวดเร็วและเท่าเทียมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจัดการกับอุปทานในระยะสั้นและลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ใหม่ๆ ในอนาคตให้เหลือน้อยที่สุด
“หลายประเทศกำลังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้รับวัคซีน เรากำลังอยู่ระหว่างการแข่งขันแห่งชีวิต แต่มันไม่ใช่การแข่งขันที่ยุติธรรม เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังไม่ได้ก้าวออกจากจุดเริ่มต้นด้วยซ้ำ” ดร. ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การฯ กล่าว “เราต้องการวัคซีนมากกว่านี้และรวดเร็วกว่านี้”
“นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั่วโลก และเป็นก้าวสำคัญเพื่อรับรองว่าทุกประเทศที่มีความเสี่ยงมากที่สุดจะได้รับการปกป้อง” เซธ เบิร์กลีย์ ซีอีโอขององค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (GAVI) ซึ่งเป็นผู้นำการจัดหาและส่งมอบของโคแวกซ์กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศจี 7 ได้ให้คำมั่นส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 1,000 ล้านโดส ตั้งแต่การประชุมสุดยอดผู้นำขั้นต้น (G7 Early Leaders’ Summit) ทางออนไลน์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างการประชุมสุดยอดด้านสุขภาพระดับโลก (G20 Global Health Summit) และการประชุมสุดยอดองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีนโคแวกซ์ (Gavi COVAX Summit)
ก่อนหน้านี้ คณะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเรียกร้องให้บรรดาผู้นำของกลุ่มประเทศจี7 (G7) ดำเนินการให้มั่นใจว่าประชาชนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ได้อย่างเท่าเทียม และไม่ปล่อยให้แรงจูงใจด้านผลกำไรส่งผลเสียต่อสุขภาพและความเสมอภาคของผู้คนทั่วโลก
“ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว รวมถึงอยู่บนพื้นฐานของการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด” คณะผู้เชี่ยวชาญระบุในแถลงการณ์ ล่วงหน้าการประชุมสุดยอดจี7 ที่มีกำหนดจัดขึ้นในสหราชอาณาจักรช่วงวันที่ 11-13 มิถุนายน
“ขณะนี้เป็นเวลาของความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพแก่รัฐบาลทุกประเทศ ด้านการฉีดวัคซีนและช่วยชีวิตประชาชน นี่ไม่ใช่เวลาของการเจรจาที่ยืดเยื้อ หรือการชักชวนกันสร้างกำแพงอุปสรรคต่างๆ เพื่อปกป้องผลกำไรของกลุ่ม”
คณะผู้เชี่ยวชาญกล่าวย้ำว่ากระบวนการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดำเนินไปอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่กลับไม่มีการดำเนินการอย่างฉับไวเพื่อให้มั่นใจว่าทุกประเทศและภูมิภาคสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเสมอภาค
“ประชาชนในประเทศซีกโลกใต้หลายพันล้านคนถูกทอดทิ้ง พวกเขามองวัคซีนเป็นแค่ภาพลวงตาหรือสิทธิพิเศษของประเทศที่พัฒนาแล้วเท่านั้น สถานการณ์นี้จะทำให้วิกฤตการณ์ยืดเยื้อโดยเปล่าประโยชน์ รวมทั้งทำให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูง เศรษฐกิจยิ่งย่ำแย่ และอาจบ่มเพาะให้เกิดสถานการณ์ความไม่สงบในสังคม”
“ผู้นำกลุ่มประเทศจี 7 ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ในเรื่องการปกป้องสิทธิในการมีชีวิตและสิทธิด้านสุขภาพของประชาชนกลุ่มที่ต้องเผชิญความไม่มั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงที่สุด ในช่วงเวลาที่มีประชาชนหลายล้านคนประสบความยากไร้และหิวโหย” คณะผู้เชี่ยวชาญระบุ ซึ่งสอดคล้องกับแถลงการณ์เมื่อปีก่อนที่กล่าวถึงสิ่งที่มนุษย์สูญเสียไปเนื่องจากการระบาดใหญ่
“สิ่งที่น่าตกใจมากคือ รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าในปริมาณการฉีดวัคซีนของทั่วทั้งโลก สัดส่วนการฉีดของกลุ่มประเทศรายได้ต่ำอยู่ที่ไม่ถึง 1%”
ที่มา:สำนักข่าวซินหัว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘จี7’ จ่อบริจาควัคซีนโควิด 1 พันล้านโดส ตั้งเป้าจบวิกฤติปี 65
- ‘แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย’ ยืนยัน พร้อมส่งมอบวัคซีนโควิดล็อตแรก มิ.ย.
- ‘อนามัยโลก’ อนุมัติใช้ฉุกเฉิน ‘วัคซีนซิโนแวค’ ตัวที่ 2 ของจีน