World News

‘ไบเดน’ สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ลั่น ‘ประชาธิปไตยคือผู้ชนะ’

“โจ ไบเดน” เข้าพิธีสาบานตน รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ลั่น ลั่น “ประชาธิปไตยคือผู้ชนะ” พร้อมเรียกร้องให้ชาวอเมริกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในช่วงเวลาที่เป็น “ฤดูหนาวแห่งภัยอันตราย”

ไบเดน วัย 78 ปี ถือเป็นผู้นำสหรัฐ ที่มีอายุมากที่สุดขณะรับตำแหน่ง โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นวุฒิสมาชิกสหรัฐ มา 36 ปี และเป็นรองประธานาธิบดีมา 8 ปี โดยเขาปฏิญาณตน ท่ามกลางสภาพอากาศเย็น ในวันลมแรงว่า จะยืนหยัดในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และปกป้องประเทศจากศัตรูทั้งในและนอกประเทศ

ไบเดน

 “ข้าพเจ้าขอให้คำสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะบริหารงานในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐด้วยความซื่อสัตย์ และจะพิทักษ์ รักษา และปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐอย่างสุดความสามารถ”

ก่อนหน้าที่ไบเดน จะปฏิญาณตนนั้น “คามาลา แฮร์ริส” อดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐ จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็ได้กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เข้ารับตำแหน่ง รองประธานาธิบดีสหรัฐ  ทำให้แฮร์ริส เป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ  ทั้งยังเป็นชาวผิวสี และเป็นชาวอเมริกัน เชื้อสายอินเดีย-จาเมกา คนแรก ที่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้ด้วย

ในการกล่าวสุนทรพจน์ หลังเข้ารับตำแหน่งนั้น ไบเดน ระบุว่า เขาจะเป็นประธานาธิบดี ของชาวอเมริกันทุกคน ไม่ใช่แค่ ผู้ที่ลงคะแนนเสียงเลือกเขา

“ถึงผู้ที่ไม่สนับสนุนพวกเรา ผมขอให้พวกคุณรับรู้ว่า เรากำลังเดินไปข้างหน้า ถ้าคุณยังไม่เห็นด้วยกับเรา ก็เป็นสิทธิของคุณ นั่นคือประชาธิปไตย”

“เราต้องหยุดสงครามกลางเมืองนี้ เราสามารถเห็นอีกฝ่าย เป็นเพื่อนบ้านกันได้ โดยไม่ต้องเป็นศัตรูกัน เราเคารพ และให้เกียรติ ซึ่งกันและกันได้ เราร่วมมือกัน ไม่ตะโกนใส่หน้ากัน และลดอุณหภูมิที่ร้อนระอุลงได้” 

ผู้นำสหรัฐคนใหม่ ยังให้สัญญาว่า จะ “ปกป้องความจริง และเอาชนะคำโกหก” แต่ไม่ได้ระบุถึง โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี ที่เพิ่งหมดวาระ ที่กล่าวหาว่า มีการโกงเลือกตั้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยทรัมป์ แพ้คดีในศาลรัฐต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับข้อกล่าวหา ความผิดพลาดในการเลือกตั้ง และการนับคะแนน

ไบเดนกล่าวด้วยว่า  “เราได้ยิน และใส่ใจในความหวังของผู้คน เราได้เรียนรู้อีกครั้งว่า ประชาธิปไตยนั้นทั้งทรงคุณค่า และบอบบาง มิตรสหายทั้งหลาย ในชั่วโมงนี้ ประชาธิปไตยได้รับชัยชนะ”

“วันนี้คือวันของสหรัฐ วันนี้คือวันของประชาธิปไตย วันนี้เป็นวันในประวัติศาสตร์ และความหวัง วันแห่งการเริ่มต้นใหม่ และวันแห่งความแน่วแน่”  และย้ำว่า “ความเป็นเอกภาพคือหนทางในวันข้างหน้า”

อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ 3 คน ได้แก่ บารัก โอบามา จอร์จ ดับเบิลยู บุช และบิล คลินตัน ได้เข้าร่วม พิธีสาบานตน ในครั้งนี้ด้วย แต่ทรัมป์ ที่หมดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในวันเดียวกันนี้ กลับไม่เข้าร่วมพิธี ของผู้รับช่วงดำรงตำแหน่งต่อ ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ในรอบ 152 ปี ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น โดยเขาเดินทางออกจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ไปยังรีสอร์ทหรู ของตัวเอง

พิธีสาบานตนดังกล่าว ยังไม่มีประชาชนหลายแสนคนเข้าร่วมพิธีเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย และการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีการปักธงชาติสหรัฐ ที่บริเวณลานเนชันแนล มอลล์ เพื่อเป็นตัวแทนของผู้ที่เข้าร่วมพิธีแทน

นอกจากนี้ ยังมีการจำกัดจำนวนเจ้าหน้าที่ระดับสูง ที่จะเข้านั่งหลัง ไบเดน แฮร์ริส สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง จิล ไบเดน และสุภาพบุรุษหมายเลขสอง ดักลาส เอ็มฮอฟฟ์ โดยเก้าอี้สำหรับแขก ที่ได้รับเชิญ ถูกจัดวางให้ห่างกัน ตามคำแนะนำทางสาธารณสุข เพื่อป้องกันการระบาด ของไวรัสโควิด-19

การจัดงาน ยังมีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษ มีการตั้งรั้วเหล็กสูง พันลวดหนาม รอบบริเวณที่จัดพิธี หลังหน่วยข่าวกรองเตือนว่า ผู้สนับสนุนทรัมป์ ที่ไม่พอใจกับการรับรองชัยชนะ ของไบเดน อาจพยายามขัดขวางการจัดพิธี

พิธีดังกล่าว ยังจัดขึ้นสองสัปดาห์ หลังจากที่ผู้สนับสนุนทรัมป์หลายพันคน บุกเข้าอาคารรัฐสภาสหรัฐ  เพื่อพยายามขัดขวาง ไม่ให้ ส.ส. และ ส.ว. รับรองการลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง ที่เป็นการยืนยันชัยชนะ การเลือกตั้งของไบเดน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สภาล่างสหรัฐ ได้ลงมติถอดถอนทรัมป์ ด้วยข้อหาปลุกปั่น การจลาจล โดยเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา เขากล่าวกับกลุ่มผู้ประท้วง ที่สนับสนุนเขา ให้มุ่งหน้าไปยัง อาคารรัฐสภาสหรัฐ เพื่อเผชิญหน้ากับ ส.ส. และ ส.ว. ที่กำลังรับรองชัยชนะของไบเดน

ทั้งนี้ แม้ทรัมป์ จะหมดวาระดำรงตำแหน่งลงแล้ว แต่เขาก็กำลังเผชิญกับการสืบสวนถอดถอน จากวุฒิสภาสหรัฐ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo