ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (12 ม.ค.) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย จากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่พักการลงทุน รอดูรายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่จะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์นี้ เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับสถานะของภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจอเมริกัน ทั้งยังรอดูรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาลด้วย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 31,029.75 จุด ขยับขึ้น 21.06 จุด หรือ 0.07% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 3,803.58 จุด ปรับขึ้นมา 3.97 จุด หรือ 0.10% และดัชนีแนสแด็ก ที่ 13,073.81 จุด บวก 37.38 จุด หรือ 0.29%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2563 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเจพี มอร์แกน ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก มีกำหนดรายงานผลประกอบการในวันศุกร์นี้ (15 ม.ค.) โดยคาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะมีผลประกอบการลดลง 9.8% ในไตรมาส 4/2563 แต่จะพุ่งขึ้น 16.4% ในไตรมาส 1/2564
ขณะเดียวกัน นักลงทุนกังวลว่าการที่สมาชิกพรรคเดโมแครตได้ยื่นญัตติถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง อาจส่งผลให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เกิดความล่าช้า
ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครตจำนวน 3 รายได้ยื่นญัตติถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง โดยญัตติดังกล่าวระบุว่า ผู้นำสหรัฐกล่าวเท็จเกี่ยวกับเรื่องที่เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี เพราะมีการโกงเลือกตั้ง และได้ปลุกระดมมวลชนให้บุกเข้าไปยังสภาคองเกรส เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อขัดขวางกระบวนการประกาศรับรองชัยชนะของนายโจ ไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนธันวาคม จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน และอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนพฤศจิกายน
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธันวาคม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ เบจบุ๊ค (Beige Book) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดค้าปลีกเดือนธันวาคม ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธันวาคม การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมกราคม จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- คาด ‘เศรษฐกิจโลก’ ขยายตัว 4% เงื่อนไขวัคซีนโควิด-19 พร้อมใช้วงกว้าง
- ครม.รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทย คาดใช้เวลาฟื้นตัวไม่น้อยกว่า 2 ปี
- ‘เจเน็ต เยลเลน’ นำทัพทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ‘โจ ไบเดน’